คุมเข้มคนเที่ยวห้างดูผลได้เสียเลิก พ.ร.ก.โฆษก ศบค.ชี้ 17 พ.ค. เป็นปรากฏการณ์ใหม่เมืองไทย ใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ปกป้องคนในประเทศ อธิบดีกรมอนามัยขอให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตเปิดระยะ 2 ทำให้ดีเหมือนระยะแรก พร้อมสนับสนุนให้ทำทุกอย่างผ่านออนไลน์ วิษณุชี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเหลือ พ.ร.บ.โรคติดต่อได้ถ้าสถานการณ์ไว้วางใจ แต่ที่ยังคงไว้เพราะกลัว ปัญหาลักลั่น ส่วนระบบขนส่งคนกรุง บีทีเอส เอ็มอาร์ที แอร์พอร์ตลิงก์ พร้อมใจขยับปิดให้บริการเป็น 22.30 น.ในทุกสถานี ตั้งแต่ 17 พ.ค. หลังขยายเวลาเคอร์ฟิว ขสมก.เพิ่มจำนวนรถวิ่ง จากเดิม 90% เป็น 95% คาดมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 1 แสนคน หรือวันละประมาณ 6 แสนคน กระทรวงเกษตรฯเปิดระบบรับเรื่องอุทธรณ์ของเกษตรกรหลังรัฐบาลมีมาตรการหลายอย่างออกบังคับใช้ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉินและเคอร์ฟิวสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย พร้อมๆมาตรการเยียวยาประชาชนในแต่ละสาขาอาชีพ ก่อนคลายล็อกผ่อนปรนระยะ 1 อนุญาตให้ดำเนินกิจกรรม 6 กลุ่ม 6 กิจการ อาทิ ตลาด ร้านขายอาหาร กิจการค้าปลีกส่ง ทั้งซุปเปอร์มาร์เกต กิจกรรมในสวนสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. แต่ถึงแม้มติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.จะต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีก 1 เดือนถึงวันที่ 31 พ.ค. แต่ก็มีแนวโน้มผ่อนคลายไปเรื่อยๆเพราะยอดผู้ติดเชื้อในแต่ละวันลดลงเรื่อยๆจนเหลือเลขตัวเดียว ล่าสุด วันที่ 15 พ.ค. ที่ประชุม ศคบ.มีมติปลดล็อกระยะ 2 เปิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศในวันที่ 17 พ.ค. ให้เปิดบริการตั้งแต่ 10 โมงถึง 2 ทุ่ม อีกทั้งเห็นชอบให้ขยับเวลาเคอร์ฟิวไปเป็น 5 ทุ่มถึงตี 4 เริ่ม 17 พ.ค.เช่นกัน ขณะที่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าขานรับพร้อมใช้มาตรการสูงสุดในการสกัดเชื้อโรคเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและผู้มาบริการย้ำผ่อนปรนระยะ 2 ต้องยึด 4 กฎเหล็กความคืบหน้าหลัง ศบค.มีมติคลายล็อกระยะ 2 ที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 16 พ.ค. พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงการเตรียมผ่อนคลายระยะที่ 2 ว่า ในส่วนกิจการหรือกิจกรรมที่จะได้รับผ่อนปรนอยากย้ำว่า มาตรการจากระยะ 1 สู่ระยะ 2 มี 4 มาตรการ ได้แก่ 1.ผู้ประกอบการเน้นเรื่องการทำความสะอาด เช่น พื้นที่โดยรอบก่อนเปิด พื้นห้าง ห้องน้ำ ต้องทำความสะอาดทั้งระบบ เน้นระบายอากาศ ต้องทดสอบระบบระบายอากาศก่อนเปิด 2.ผู้ให้และผู้รับบริการต้องสวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ หากเป็นจุดที่มีการพบผู้คนจำนวนมาก เช่น พนักงานคิดเงินอาจใช้เฟซชิลด์เสริมการใส่ หน้ากากผ้า ผู้รับบริการต้องใส่หน้ากากตลอด 3.มีอ่างล้างมือหรือมีเจลแอลกอฮอล์เพียงพอและ 4.เว้นระยะห่าง กิจการที่ผ่อนระยะ 1 แสดงให้เห็นเรื่องการเว้นระยะห่างที่ดี มีตารางที่พื้นเพื่อให้รู้จุด ทั้งนี้ต้องควบคุมจำนวนคน หากทำได้จะทำให้ระยะที่ 2 ผ่านไปได้ด้วยดีชมกิจการผ่อนปรนระยะที่ 1 ทำได้ดีอธิบดีกรมอนามัยกล่าวต่อว่า จะร่วมกับสาธารณสุข จังหวัดสุ่มตรวจห้างสรรพสินค้า จะดูใน 4 ระบบได้แก่ ระบบน้ำ เน้นผู้ประกอบการว่าน้ำที่อยู่ในถังพักน้ำ เมื่อมีการพักคลอรีนอาจระเหย ต้องตรวจคุณภาพอากาศ จัดระบบการระบายอากาศ อาหารมีการจัดจุดรับประทานและจัดที่นั่งที่ดี ขยะมีการจัดการที่ดี จุดสัมผัสร่วมต้องหมั่นทำความสะอาด เช่น ลิฟต์ บันไดเลื่อน ห้องน้ำ ต้องคัดกรองพนักงานทุกคนทุกวัน จากการติดตามกลุ่มผ่อนคลายระยะที่ 1 กลุ่มแรก พบ 95% สวมหน้ากาก จัดโซนล้างมือเพียงพอ เว้นระยะห่าง ทำความสะอาดสถานที่ภายในและภายนอกเป็นประจำ ถือว่าทำได้ดีผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตเปิดระยะ 2 ให้ดำเนินการให้ได้ดีเหมือนระยะแรกคุมโรคต้องเข้มด้วย 3 มาตรการด้าน นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า มาตรการผ่อนปรนระยะ 2 จะทำให้กลับมาใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ และเศรษฐกิจเดินไปได้ในระดับหนึ่ง สิ่งสำคัญคือต้องป้องกันควบคุมโรคโดยมาตรการหลัก 3 อย่าง คือ 1.มาตรการทางสาธารณสุขต้องหยุดไวรัส ต้องป้องกันเข้มข้น ค้นหาผู้ป่วย ควบคุม และการรักษา การค้นหาผู้ป่วยจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก นำข้อมูลพิจารณาว่ากรณีไหนเจอผู้ป่วยบ่อยต้องเข้าไป และเฝ้าระวังด้วยการตรวจค้นในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยปอดอักเสบ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีอาการน้อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีไข้เล็กน้อย กลุ่มผู้สูงอายุ หากโรงเรียนเปิดจะตรวจในกลุ่มครู นอกนั้นติดตามการป่วยด้วยโรคหวัดเป็นกลุ่มก้อน จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ และจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตทุกสาเหตุ เนื่องจากมีรายงานทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมว่าผู้ป่วยโควิด-19 อาจมีอาการแตกต่างออกไป ทั้งอาการสมอง อาการหลอดเลือดหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน เป็นต้นสนับสนุนให้ทำทุกอย่างผ่านออนไลน์นพ.ธนรักษ์ กล่าวต่อว่า 2.มาตรการระดับบุคคล คือทุกคนต้องช่วยกัน แม้จะเริ่มเปิดกิจการจากการผ่อนปรนมากขึ้น ไม่ใช่ว่าจะออกไปได้หมด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังไม่ควรออก เพราะการออกไปย่อมมีความเสี่ยง การออกนอกบ้านต้องระมัดระวัง เพราะการออกจากบ้านและกลับบ้านมาย่อมมีความเสี่ยงนำเชื้อกลับมาได้ และ 3.มาตรการระดับองค์กร เจ้าของกิจการต้องช่วย เช่น สนับสนุนให้ทำงานอยู่ที่บ้าน ยังเป็นมาตรการที่จำเป็น หน่วยงานหรือองค์กรไหนสนับสนุนเรื่องนี้ได้ขอให้ทำต่อไป หรือการใช้วิธีเหลื่อมเวลาการทำงาน การเข้างานไม่ตรงกันอยู่ที่การพิจารณา และสนับสนุนให้ทำทุกอย่างผ่านระบบออนไลน์ ต้องทำทั้งภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐต้องกลับมาทบทวนว่าจากนโยบายงานดิจิทัลของรัฐบาล ในการสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ขณะนี้ทำไปถึงไหนแล้วเพื่อนำมาใช้ตรงนี้ ให้ประชาชนลดการติดต่อกับภาครัฐด้วยการทำผ่านออนไลน์แทน เป็นต้นยันไม่มีผลถอน 2 ปท.ออกจากลิสต์เมื่อถามถึงกรณีการถอนประเทศเกาหลีใต้และจีนออกจากเขตโรคติดต่ออันตราย จะส่งผลให้มีการเดินทางเข้าประเทศจนเสี่ยงระบาดระลอก 2 หรือไม่ นพ.ธนรักษ์กล่าวว่า แม้จะถอนประเทศเหล่านี้ออก แต่โดยหลักการคนที่เดินทางมาจาก 2 ประเทศนี้ยังไม่สามารถเข้ามาในประเทศไทยได้ เพราะยังมีข้อสั่งการเรื่องการห้ามบินอยู่ เพราะฉะนั้น แม้วันนี้จะถอน 2 ประเทศนี้ออก เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยของประเทศเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีผลการควบคุมโรคในระยะนี้ ส่วนการพิจารณาว่า ผู้เดินทางจากประเทศใดจะสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ในอนาคต เรื่องนี้คงต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป ดังนั้นยังไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงแต่อย่างใดศบค.คัดกรองนักท่องเที่ยวเข้มข้นก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวถึงการปลดล็อกจีนและเกาหลีใต้ออกจากประเทศผู้ติดเชื้อ ที่หลายคนเป็นห่วง เกรงนักท่องเที่ยวทั้งสองประเทศจะเดินทางมาประเทศไทยจำนวนมากว่า ทั้งสองประเทศเป็นประเทศแรกๆที่มีการติดเชื้อ ขณะนี้สามารถควบคุมได้ดี หากเทียบกับประเทศต่างๆทั่วโลก ไม่มีเหตุต้องคงไว้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้ามา รวมถึงยังมีมาตรการที่หากคนต่างชาติเดินทางเข้าไทยต้องมีใบรับรอง มีกรมธรรม์ประกันภัย และต้องอยู่ในสถานกักกันของรัฐอีก 14 วัน มาตรการเหล่านี้ยังไม่ยกเลิก นักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย ต้องทำตามหลักเกณฑ์นี้ และยังมีมาตรการตรึงสนามบิน ไม่ให้ขึ้นลงแบบเสรี ให้มั่นใจในระบบของเรา เที่ยวห้างต้องโหลด “ไทยชนะ”ส่วนการใช้แอปพลิเคชันไทยชนะนั้น อยากให้เรียกว่าแพลตฟอร์ม เพราะมีข้อมูลขนาดใหญ่กว่าแอปพลิเคชัน ในวันที่ 17 พ.ค. ที่เปิดห้างสรรพสินค้า และคลายล็อกระยะที่ 2 จะให้ผู้ให้บริการ ห้างร้านดาวน์โหลดแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” จาก www.ไทยชนะ.com ตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันที่ 17 พ.ค. หากมีเหตุขัดข้องโทร.ได้ที่ 1119 แพลตฟอร์มดังกล่าวผู้ให้บริการต้องปรินต์คิวอาร์โค้ดติดหน้าร้านให้ผู้รับบริการสแกนเพื่อเช็กอิน เช็กเอาต์ ตรวจสอบความแออัดของร้านค้า ร้านอาหาร รวมทั้งติดตามตัวผู้ใช้บริการหากมีจำเป็น ในวันที่ 17 พ.ค. จะเห็นปรากฏการณ์ใหม่ของเมืองไทย จะไปสู่แพลตฟอร์มไทยชนะ เป็นการปกป้องระบบคนในประเทศไทย ฝากทุกคนให้ความร่วมมือด้วย ทั้งนี้ หากใครไม่มีโทรศัพท์มือถือผู้ประกอบการอาจจะใช้วิธีจดข้อมูล ยังไม่ผ่อนปรนเครื่องบินเข้า ปท.ขณะที่ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แถลงว่า การผ่อนปรนระยะ 2 ยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ แต่เป็นความ เสี่ยงที่ได้ใคร่ครวญแล้ว ต่อให้อยู่ในความเสี่ยงก็สามารถ ควบคุมได้ และสาธารณสุขยังรองรับขีดความสามารถความเสี่ยงนี้ได้ หากพบกิจกรรม กิจการใดจะได้รับ การแพร่เชื้อ อาจปิดกิจกรรมนั้น ส่วนการเดินทางทางอากาศนั้น ยังเข้มข้นในระดับเดิมคือ ป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อจากต่างประเทศ ทั้งทางบกทางน้ำทาง อากาศ การอนุญาตให้อากาศยานเดินทางเข้าประเทศไทย ยังไม่อนุญาตให้เครื่องบินพาณิชย์เข้ามา ส่วนการเคลื่อน ย้ายข้ามจังหวัดนั้น ยังเชิญชวนให้ชะลออยู่ แต่ไม่ได้ห้ามแค่ขอให้อยู่บ้าน เพราะปลอดภัยที่สุด หากจำเป็น ต้องเดินทาง เมื่อไปถึงปลายทาง หากจังหวัดนั้นมี มาตรการที่เข้มข้น ต้องปฏิบัติตามที่กำหนดรับไว้พิจารณาร่นเคอร์ฟิวเป็นตี 3เมื่อถามว่า มีข้อเสนอแนะจากประชาชนอยาก ให้ปรับเวลาเคอร์ฟิวจาก 04.00 น. เป็นเวลา 03.00 น. ได้หรือไม่ เพราะมีประชาชนต้องขายของตอนเช้า เพื่อไม่ได้รับผลกระทบเรื่องเวลา พล.อ.สมศักดิ์กล่าวว่า ขอรับไว้เป็นข้อพิจารณา ปรับลดระยะเวลาเคอร์ฟิวในครั้งต่อไป เมื่อถามว่า ข้อกำหนดที่ระบุให้คลินิกเวชกรรมสถานเสริมความงาม สามารถเสริมความงามเฉพาะเรือนร่าง ไม่รวมถึงการเสริมความงาม บริเวณใบหน้า พล.อ.สมศักดิ์กล่าวว่า หลักการสำคัญไม่ว่าจะเป็นเฟส 1 และ 2 สิ่งที่ทำคือ ยอมเสี่ยงในบางเรื่องเพื่อชดเชยความสะดวกสบายของประชาชน และชดเชยเศรษฐกิจที่จะได้รับการกระตุ้น กรณีการทำทันตกรรม เป็นกิจกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่เรื่องของการเสริมความงามที่ยังไม่ให้ทำในเรื่องของใบหน้านั้น เพราะดวงตาสามารถติดเชื้อได้กำชับ อปท.เข้มงวดใช้งบแก้โควิดนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เรื่อง ขอให้กำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการป้องกัน ควบคุมและระงับโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เนื้อหาระบุว่า กระทรวง มหาดไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากการดำเนินการ และสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขสถานการณ์ของ อปท. มีการใช้งบประมาณ อปท.เพื่อดำเนินการกรณีของโรคดังกล่าวจนสถานการณ์ คลี่คลาย ประกอบกับปัจจุบันปรากฏข่าวในสื่อออนไลน์ และหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการดำเนินการ ของ อปท. ไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีการทุจริตการจัดซื้อ จัดจ้างของ อปท.หลายแห่ง ขอให้จังหวัดกำกับดูแลให้ อปท.กำชับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างทำความเข้าใจกฎหมาย ระเบียบ และดำเนินการให้เป็นไป ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบได้ หากมีกรณี ร้องเรียนการทุจริต ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ให้ตรวจสอบ ข้อเท็จจริงและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยเร็ว นายกฯให้ดูผลดีผลเสียเลิก พ.ร.ก.ส่วนความคืบหน้าในเรื่องของแนวคิดการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม สั่งการให้ศึกษาเปรียบเทียบความจำเป็นการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกับการใช้กฎหมายปกติ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ว่า นายกฯ ให้ไปเปรียบเทียบว่า หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว จะมีกฎหมายปกติใดมารองรับได้บ้าง จะเกิดผลดี หรือผลเสียต่อการควบคุมการแพร่ระบาด ความจริงหากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ยังมี พ.ร.บ.โรคติดต่อที่ให้ อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดบริหารจัดการ ไม่มีความเป็น ไปได้จะใช้กฎอัยการศึก หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงมาใช้แทนใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินคุมเพราะกลัวลักลั่นนายวิษณุกล่าวว่า การให้อำนาจผู้ว่าฯบริหารจัดการอาจเกิดความลักลั่นได้ เช่น บางจังหวัดอาจตึง บางจังหวัดหย่อนยาน เช่น ภูเก็ต กระบี่ และพังงาที่เคยเกิดปัญหาก่อนหน้านี้ที่มีโยกย้ายของคน ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาคุมอีกฉบับหนึ่ง รัฐบาลใช้กฎหมายทั้งสองฉบับนี้คู่ขนานมาตลอด หากประกาศเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะเหลือ พ.ร.บ.โรคติดต่อเท่านั้น คิดว่าเอาสถานการณ์อยู่ก็โอเค ถ้าคิดว่าเอาไม่อยู่ต้องใช้กฎหมายสองชั้นซ้อนกัน แต่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้รัฐมีอำนาจประกาศใช้ข้อกำหนด 9 ประการ วันนี้ใช้ครบทั้ง 9 ประการแล้ว แต่บางโอกาสอาจใช้เพียง 1-2 ข้อกำหนดก็ได้ เช่นเดียวกับการแพร่ระบาดโควิด-19เลิกได้ถ้าสถานการณ์ไว้วางใจนายวิษณุกล่าวต่อว่า เมื่อประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอาจไม่ประกาศข้อกำหนดใดๆเลยก็ได้ แต่ที่ต้องประกาศไว้ เนื่องจากหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินสามารถนำข้อกำหนดมาใช้ได้ทันที ถ้าจะเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินก็ได้ ถ้าคิดว่าสถานการณ์ไว้วางใจได้ พ.ร.บ.โรคติดต่อก็อาจเพียงพอ ส่วนสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ประกาศเลื่อนการเปิดสนามบินไปอีก 1 เดือนนั้น มาตรการดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่มองว่า อาจเป็นความเสี่ยงที่จะนำเชื้อมาในประเทศ หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็สามารถควบคุมการบินได้ เพราะยังถือเป็นจุดเสี่ยง อัศวินเป็นห่วงไม่ต้องรีบไปห้างขณะที่พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า ตามที่ ศบค.ออกมาตรการผ่อนปรนสถานที่ หรือกิจกรรมระยะที่ 2 กทม.ได้ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร เพื่อหารือถึงการดำเนินการตามมาตรการผ่อนปรนสถานที่หรือกิจกรรมระยะที่ 2 ให้สอดคล้องกับแนวทาง ศบค.กำหนด เช่น การผ่อนปรนให้ห้าง หรือศูนย์การค้า เปิดทำการได้ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม มีความกังวลและเป็นห่วงประชาชนในวันที่ห้างเปิดให้บริการเป็นวันแรก หลังจากที่ปิดไปนาน เกรงว่าจะมีประชาชนแห่ไปห้าง เกิดการรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ไม่มีการเว้นระยะห่าง เช่นเดียวกับกรณีที่มีการอนุญาตให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นวันแรก หลังจากมีคำสั่งห้ามขายเป็นเวลาหลายวัน มีประชาชนเดินทางไปรุมซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามร้านค้า ซุปเปอร์มาเกตเป็นจำนวนมาก ขอให้ประชาชนไม่ต้องรีบมาห้าง เพราะห้างเปิดทุกวัน มาวันอื่นที่ไม่ใช่วันแรกก็ได้ ที่สำคัญอย่าลืมมาตรการการควบคุมการแพร่เชื้อไวรัส-19 หากประชาชนให้ความร่วมมือ ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และสถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่การพิจารณาผ่อนปรนระยะที่ 3จ่อผ่อนปรน 10 กิจกรรมตาม ศบค.ด้าน ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษก กทม.กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาสถานที่หรือกิจกรรมที่จะมีการผ่อนปรนระยะที่ 2 ตามแนวทางที่ ศบค.กำหนด 10 สถานที่ ประกอบด้วย 1.ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านอาหารในห้าง 2.ร้านอื่นๆในห้าง อนุโลมให้เปิดได้แต่ทุกร้านต้องใส่หน้ากากอนามัย มีการรักษาสุขอนามัย ส่วนพื้นที่ที่ยังให้ปิดต่อในห้าง คือ ลานโบว์ลิ่ง ลานสเกต โรเลอร์เบลด ตู้เกม เครื่องเล่นหยอดเหรียญ สวนน้ำ สวนสัตว์ นวดแผนไทย สถาบันกวดวิชา สถานที่ประกวดพระเครื่อง สนุ้กเกอร์ ฟิตเนส โรงภาพยนตร์ คาราโอเกะ 3.สถานรับเลี้ยงหรือสถานสงเคราะห์ ยกเว้นแบบไปกลับ 4.กองถ่ายละคร ภาพยนตร์ ไม่เกิน 50 คน 5.ศูนย์ประชุม/ห้องประชุมในโรงแรม จำกัดไม่เกิน 50 คน ขอให้เป็นการจัดประชุมเฉพาะหน่วยงานเดียวกันก่อนรายละเอียดปลีกย่อยรอดูประกาศ6.คลินิกเวชกรรม คลินิกเสริมความงาม ยกเว้นบนใบหน้า 7.ฟิตเนส นอกห้างฯเฉพาะฟรีเวทเล่นและโยคะ เล่นได้ไม่เกินคนละ 2 ชม. 8.โรงยิม/สถานที่ออกกำลังกาย ประเภทที่ไม่เกิน 3 คน ได้แก่ แบดมินตัน ตะกร้อ ปิงปอง ปีนผา ฟันดาบ ยิมนาสติก สควอร์ส โยคะ 9.สระว่ายน้ำ จำกัดคนเข้า 150 ตร.ม. ต่อ 1 คนให้บริการไม่เกิน 1 ชม./คน เปิดตั้งแต่ 06.00-18.00 น. งดสอนและเรียนว่ายน้ำ และ 10. สวนพฤกษศาสตร์ สวนดอกไม้ ห้องสมุดสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ แหล่งประวัติศาสตร์ โบราณสถาน หอศิลป์ ต้องจัดให้มีการจองคิวล่วงหน้า ไม่อนุญาตให้มีการฉายวีดิทัศน์เพื่อชมแบบรวมกลุ่ม ทั้งหมดนี้คือมาตรการหลักที่กำหนดส่วนรายละเอียดปลีกย่อยให้ประชาชนสามารถติดตามดูได้จากประกาศที่กรุงเทพมหานครจะออกต่อไปห้ามบินโดยสารเข้าไทยต่ออีก 1 ด.วันเดียวกัน นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า ได้ลงนามออกประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง ห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 5) โดยขยายระยะเวลาห้ามอากาศยานขนส่งคนโดยสารบินเข้ามายังท่าอากาศยานไทยเพิ่มเติมอีก 1 เดือนหรือตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.63 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.63 เวลา 23.59 น. จากเดิมที่ก่อนหน้าได้ออกประกาศฉบับที่ 4 โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 31 พ.ค.63 อย่างไรก็ตาม ประกาศฉบับที่ 5 นั้น ให้มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รุนแรงมากยิ่งขึ้น สำหรับการประกาศห้ามอากาศยานขนส่งคนโดยสารเข้ามายังท่าอากาศยานประเทศไทยนั้น ยกเว้นอากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร, อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน, อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง, อากาศยานที่ทำการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมทำการบินทางการแพทย์ หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19, อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับภูมิลำเนา และอากาศยานขนส่งสินค้าบีทีเอสบีอาร์ทีขยับปิดสี่ทุ่มครึ่งในเรื่องของขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะการเดินทางของคนเมืองกรุง นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดเผยว่า จากกรณีที่ ศบค.มีมติให้ปรับเวลาเคอร์ฟิว โดยห้ามออกจากเคหสถาน จากเดิมเวลา 22.00-04.00 น. เป็น 23.00-04.00 น. เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร รถไฟฟ้าบีทีเอสและรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที จะขยายเวลาให้บริการจากเดิมปิดเวลา 21.30 น. เปลี่ยนเป็นเวลา 22.30 น. ในทุกสถานี ทั้งสายสุขุมวิท และสายสีลม ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 17 พ.ค.63 หรือจนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงยังเข้มมาตรการคัดกรองเว้นระยะนายสุรพงษ์กล่าวว่า ถึงแม้ขณะนี้ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จะมีสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว แต่รถไฟฟ้าบีทีเอสยังคงเข้มงวด และเพิ่มความถี่ในการฉีดพ่นและเช็ดทำความสะอาด ภายในขบวนรถไฟฟ้า จุดสัมผัสร่วมภายในสถานี และบริเวณรอบสถานีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯอย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับการคัดกรองผู้มาใช้บริการ ตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าสู่ระบบ หากมีอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียส จะไม่อนุญาตให้เข้าใช้บริการ และยังคงเน้นปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสารทุกท่านแนะเผื่อเวลาในการเดินทางมากขึ้นนายสุรพงษ์กล่าวอีกด้วยว่า เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ บีทีเอสมีข้อแนะนำสำหรับผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้า โปรดเผื่อเวลาในการเดินทางให้มากขึ้น ต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าทุกครั้งตลอดเวลาที่อยู่ในระบบรถไฟฟ้า รวมถึงก่อนเข้าและออกจากระบบรถไฟฟ้า ควรล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อทุกครั้ง ได้จัดเตรียมแอลกอฮอล์ให้บริการให้ที่โต๊ะตรวจการณ์หน้าทางเข้า-ออกทุกสถานี รวมทั้งในระหว่างการเดินทางหรืออยู่ในขบวนรถ พยายามหลีกเลี่ยงการนำมือขึ้นมาจับใบหน้า โดยเฉพาะจมูก ปากและตา ในชั่วโมงเร่งด่วนที่มีผู้โดยสารหนาแน่นให้หลีกเลี่ยงการพูดคุยกันในขบวนรถ ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค สำหรับลานจอดรถ บริเวณลานจอดแล้วจร (สถานีหมอชิต) จะเปิดให้บริการจอดรถฟรี ตามเวลาปกติ ตั้งแต่เวลา 05.00-01.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.เป็นต้นไปเอ็มอาร์ทีปิดสี่ทุ่มครึ่งเหมือนกันด้านการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า MRT พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.63 รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) จะเปลี่ยนแปลงเวลาปิดให้บริการเป็นเวลา 22.30 น. รถขบวนสุดท้ายจะถึงสถานีปลายทางเวลา 22.30 น. เพื่อให้ผู้โดยสารเดินทางกลับถึงบ้านได้ทันก่อนเวลาเคอร์ฟิว ตรวจสอบตารางการเดินรถและเวลารถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายได้จาก ประกาศภายในสถานี หรือ เฟซบุ๊ก MRT Bangkok Metro โมบายแอปพลิเคชัน Bangkok MRT เว็บไซต์ www.bemplc.co.th ศูนย์บริการข้อมูล โทร.0-2624-5200 ทั้งนี้ MRT ยังคงขอความร่วมมือผู้โดยสารสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยขณะใช้บริการ ล้างมือให้สะอาดด้วยแอลกอฮอล์เจลในสถานี และเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างน้อย 1 เมตร แอร์พอร์ตลิงก์ปรับเวลาด้วยด้านนายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เผยถึงกรณีเดียวกันว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยนเวลาการให้บริการให้สอดคล้องกับมติดังกล่าว จากเดิมที่ให้บริการในเวลา 05.30-21.30 น. เป็นให้บริการในเวลา 05.30-22.30 น. ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.63 รถไฟขบวนสุดท้ายจะออกจากสถานีพญาไท และสถานีสุวรรณภูมิ เวลา 22.00 น.จะถึงสถานีปลายทางเวลา 22.30 น. ขสมก.คาด ผดส.เพิ่ม 1 แสนคนเช่นเดียวกับนายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค.63 ขสมก.มีผู้ใช้บริการรถโดยสารประจำทางประมาณกว่า 500,000 คน คาดว่าเมื่อดำเนินการตามมาตรการคลายล็อก จะทำให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 คน หรือวันละประมาณ 600,000 คนเพิ่มจำนวนรถขยายเวลาถึง 4 ทุ่มผอ.ขสมก.กล่าวต่อว่า ขสมก.จัดแผนเดินรถโดยสาร ช่วงมาตรการคลายล็อกระยะที่ 2 ดังนี้ 1.เพิ่มจำนวนรถออกวิ่ง จากเดิม 90% (2,705 คัน/วัน) เป็น 95% (2,855 คัน/วัน) หรือจัดรถวิ่งให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา 2.ปรับเวลาให้บริการเดินรถโดยสาร จาก 05.00-21.00 น. (เวลา 21.00 น. คือเวลาที่รถโดยสารกลับถึงอู่จอดรถ) เป็นให้บริการเวลา 05.00-22.00 น. (เวลา 22.00 น.เวลาที่รถโดยสารกลับถึงอู่จอดรถ) เพิ่มความถี่ในการปล่อยรถ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า (05.00-08.00 น.) และช่วงเวลาก่อนเคอร์ฟิว (21.00-22.00 น.) ให้มีระยะห่างกันไม่เกิน 5-10 นาทีติดป้ายหน้ารถแจ้ง 3 คันสุดท้าย3.ปล่อยรถโดยสารคันสุดท้าย ออกจากท่าปลายทางประมาณ 21.00 น.เพื่อให้พนักงานสามารถนำรถกลับเข้าอู่จอดรถได้ทันเวลา 22.00 น. โดยปรับเพิ่มความถี่ในช่วงการปล่อยรถ 3 คันสุดท้าย ให้มีระยะห่างกัน 5-10 นาที ซึ่งรถโดยสาร 3 คันสุดท้ายจะติดป้ายข้อความบ่งชี้บริเวณหน้ารถโดยสาร ดังนี้ 3.1 เหลือรถ 2 คันสุดท้าย 3.2 เหลือรถ 1 คันสุดท้าย 3.3 รถคันสุดท้ายรถโดยสาร 1 คันให้ยืนไม่เกิน 10 คนท้ายสุดนายสุระชัยกล่าวว่า ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งขณะใช้บริการรถโดยสาร การนั่งหรือยืนตามจุดที่กำหนด (รถโดยสาร 1 คัน อนุญาตให้ผู้ใช้บริการยืนได้ไม่เกิน 10 คน) กรณีผู้ใช้บริการเต็มจะต้องรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ เตรียมตัวกลับบ้านก่อนเวลา 19.00 น. เพื่อลดความแออัดของผู้ใช้บริการบนรถโดยสารในช่วงเวลาก่อนเคอร์ฟิว (21.00-22.00 น.)สปส.จ่ายแล้วคนเดือดร้อน 8 แสนคนส่วนมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพิษไวรัสโควิด-19 นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยถึงการจ่ายเงินสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากผลกระทบโควิด-19 ให้ผู้ประกันตนว่า มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่หยุดงานชั่วคราวยื่นขอใช้สิทธิกว่า 1.1 ล้านราย เฉพาะวันที่ 14 พ.ค. มียื่นวันเดียวกว่า 1.8 หมื่นราย สปส.สั่งจ่ายไปแล้ว809,509 ราย เป็นเงินกว่า 4,695 ล้านบาท อยู่ระหว่างดำเนินการกว่า 2.9 แสนราย ในจำนวนนี้กำลังวินิจฉัย 1.7แสนราย และรอนายจ้างรับรองสิทธิ 1.2 แสนรายให้ยื่นขอใช้สิทธิว่างงานได้ใน 2 ปีนายนันทชัยกล่าวอีกว่า โดยวันที่ 15 พ.ค.ได้ตัดยอดที่ยื่นขอและผ่านการตรวจสอบสิทธิ และสั่งจ่ายครบ 9.9 แสนรายจะได้รับเงินเข้าบัญชีภายใน 4 วันทำการ หากไม่ได้รับเงินหรือยังไม่ได้สิทธิเยียวยาว่างงาน สอบถามหรือร้องเรียนที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์สำนักงานประกันสังคม ปัญหาที่พบเงินไม่เข้าบัญชีส่วนหนึ่งเพราะแจ้งหมายเลขบัญชีไม่ถูกต้อง บางคนบัญชีปิดไปแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่ได้สิทธิเยียวยาว่างงาน เป็นเพราะนายจ้างยังไม่รับรองการหยุดงาน ประกอบกับนายจ้างบางแห่งยังจ่ายเงินเดือนบางส่วนไม่ได้หยุดจ่ายทั้งหมด แต่ลูกจ้างมีการขอเข้ามาก่อนเพราะหวังว่าอาจจะได้ กลุ่มนี้จะไม่ได้รับสิทธิ โดยผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบว่างงานในช่วง 1 มี.ค.-31 ส.ค. สามารถยื่นคำขอใช้สิทธิได้ภายใน 2 ปีโอนเยียวยาสัปดาห์หน้า 14.5 ล้านคนขณะเดียวกัน นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการ รมว.คลัง กล่าวว่า สำหรับการจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาทนั้น ขณะนี้มีผู้ผ่านเกณฑ์ 15 ล้านคน จ่ายเงินแล้ว 13.9 ล้านคน และในสัปดาห์หน้ากระทรวงการคลังจะจ่ายเงินให้ครบ 14.5 ล้านคน วันนี้ชาวบ้านทั่วประเทศฝากขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ผ่าน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐมา เพราะส่วนใหญ่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทแล้ว สามารถช่วยประทังความเดือดร้อนในภาวะโควิด-19 ไปได้ ยืนยันรัฐบาลจะช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนทุกคน ทั้งนี้ หลังจากปิดรับเรื่องราวร้องทุกข์ขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาทในโครงการเราไม่ทิ้งกัน ที่กรมประชาสัมพันธ์แล้ว มีประชาชนมายื่นร้องเรียนทั้งหมดเกือบ 30,000 คน ได้แยกกลุ่มปัญหาและแก้ไขไปแล้วจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังเปิดให้มีการร้องทุกข์ต่อที่ธนาคารของรัฐคือ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ ในวันเวลาราชการ ตั้งแต่วันที่ 18-29 พ.ค. เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ยังเดือดร้อน แต่ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการรัฐอย่างเข้มงวดเร่งช่วยกลุ่มถือบัตรคนจน 2.4 ล้านคนนายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 15 ล้านคน จากผู้เข้าข่ายมีสิทธิได้รับเงิน 16 ล้านคน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลจะดูแลหลังจากนี้ ได้แก่ กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กแรกเกิด ผู้สูงอายุ มีอยู่ 13 ล้านคน และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสังคม เนื่องจากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน 1 ล้านคน ในส่วนนี้ พม.จะเข้าไปช่วยเหลือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กำลังเสนอมาตรการเพื่อมาดูแลในเร็วนี้ ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน 14.6 ล้านคน ที่ในจำนวนนี้ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการรัฐเพียง 2.4 ล้านคน และกลุ่มผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ1.7 ล้านคนนั้น กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มแรกรับเงิน 6.77 ล้านรายขณะที่นายอนันต์ สุวรรณ์รัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามมติ ครม.วันที่ 28 เม.ย.63 เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรฯดำเนินโครงการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีกรอบเยียวยาไม่เกิน 10 ล้านราย รายละ 5,000 บาทเป็นเวลา3 เดือน ตั้งแต่ พ.ค.-ก.ค.63 มีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติมีสิทธิ์ในการรับเงินเยียวยา ถือเป็นเกษตรกรกลุ่มที่1 จำนวน 8.33ล้านราย หลังจากการตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับทะเบียนฐานประกันสังคม ทะเบียนข้าราชการบำนาญ ทะเบียนข้าราชการ และโครงการเราไม่ทิ้งกัน ทำให้คงเหลือเกษตรกรที่มีคุณสมบัติได้รับเงินเยียวยา 6.77 ล้านรายพร้อมจ่าย 3.3 ล้านราย 15–20 พ.ค.ปลัดกระทรวงเกษตรฯกล่าวต่อว่า ธ.ก.ส. พร้อมจะดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรในกลุ่มที่1 ในชุดแรก 3.3 ล้านราย ระหว่างวันที่ 15-20 พ.ค.63 ส่วนที่เหลืออีก 3.4 ล้านราย อยู่ระหว่างคัดกรองความซ้ำซ้อนกับมาตรการอื่นๆ คาดว่าจะสามารถรับเงินเยียวยาได้ภายในวันที่ 25 พ.ค.63 ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยาได้จากระบบตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยาเกษตรกร ที่เว็บไซต์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ www.moac.go.th หรือ http://savefarmer.oae.go.th/ โดยตรงและสามารถติดตามผลการโอนเงินได้จากเว็บไซต์ของ ธ.ก.ส. www.เยียวยาเกษตรกร.com หรือตู้ปรับสมุดหน้า ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ และจากตู้ ATM ได้ทุกธนาคารเปิดช่องทางร้องทุกข์ถ้าไม่ได้รับเงินในส่วนของเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาจากสาเหตุต่างๆ กระทรวงเกษตรฯเปิดให้บริการ “ระบบรับเรื่องอุทธรณ์เงินเยียวยาเกษตรกร” เกษตรกรที่มีปัญหาสอบถามหรือไปขออุทธรณ์ด้วยตัวเองได้ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วน ภูมิภาคได้แก่ 1. สำนักงานเกษตรอำเภอและจังหวัด 2. สำนักงานประมงอำเภอและจังหวัด 3. สำนักงานปศุสัตว์อำเภอและจังหวัด 4.สำนักงานหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เขตหรือศูนย์เครือข่ายใกล้บ้าน 5.เขตบริหารอ้อยและน้ำตาลทราย 1-8 และศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายภาคที่ 1-4 6.สำนักงานสรรพสามิตจังหวัด 7.การยางแห่งประเทศไทย (จังหวัด/สาขา) 8.สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดชาวไร่ปลื้มหลังเงิน 5,000 บาท ถึงมือขณะที่นายทำนนท์ แซ่ลี้ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ข้าว และพืชผัก ในพื้นที่ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ที่ได้รับเงิน “เยียวยาเกษตรกร” 5,000 บาท กล่าวว่า อยากฝากขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ช่วยเหลือจัดสรรเงินเยียวยาให้กับเกษตรกร เงินเยียวยามาทันเวลากับฤดูฝนพอดี จะนำเงินไปลงทุนพัฒนาต่อยอดการเกษตร ซื้อเมล็ดพันธุ์ผัก ทำปุ๋ยหมัก มาลงทุนต่อยอดพัฒนาฟาร์มของตนเองให้ได้มาตรฐานต่อไป