ปลายฝนกระทบแล้ง ไข่แมลงหลายชนิดโดยเฉพาะตั๊กแตน “ปาทังก้า” ที่ฝังใต้ดินพร้อมฟักเป็นตัวอ่อนออกหากิน ฝูงบินปาทังก้าหากเข้าที่ไหนวอดวายชั่วข้ามคืนตั๊กแตนปาทังก้า (Patanga succincta) ตัวเต็มวัย สีน้ำตาลอ่อนสลับกับสีน้ำตาลแก่ แก้มทั้ง 2 ข้างมีแถบสีดำพาดจากขอบตารวมด้านล่างถึงปาก ปีกยาวเลยปลายส่วนท้องไปประมาณ 1 ใน 5 เท่าของตัว ปีกคู่แรกแข็งมีแถบสีเหลืองและสีน้ำตาล ปีกคู่ที่ 2 เป็นเยื่อบางใส โคนปีกมีสีม่วงแดงหรือสีชมพู ขาเรียวยาว ขาคู่หน้าเล็กกว่าขาคู่หลังซึ่งแข็งแรงมีหนามคม ตัวเมียลำตัวยาว 7.6-7.8 ซม. ใหญ่กว่าตัวผู้ซึ่งลำตัวยาวแค่ 6-6.5 ซม.อายุ 8-9 เดือนโตเต็มวัย ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน จะกระพือปีกส่งสัญญาณจับคู่ ตัวเมียวางไข่เป็นฝักมีฟองน้ำเคลือบครั้งละ 1-3 ฝัก แต่ละฝักมีไข่ 96-152 ฟอง วางไข่ลงในดินร่วนซุยลึก 2-7 ซม. หลังวางไข่หมดตัวเมียจะตายทันที จากนั้น 35-51 วัน ไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนอยู่ในดิน ระหว่างนี้จะลอกคราบ 7-8 ครั้ง กระทั่งอายุ 81 วัน จะเริ่มขึ้นจากดินออกหากินข้าวโพด อ้อย ข้าว ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมันและไผ่ แหล่งอาหารอันโปรดปรานบินเข้าที่ไหนเพียงชั่วข้ามคืนวอดวายไม่เหลือ ปี 2546-2549 ฝูงตั๊กแตนได้ทำลายธัญพืชเพียงข้ามคืน พืชพรรณย่อยยับหมด ทำให้ประชากรในแอฟริกาตะวันตก 8 ล้านคน เสี่ยงต่อความอดอยากจนปี 2560 องค์การอวกาศแห่งยุโรป (ESA) ร่วมกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) สร้างระบบดาวเทียมเฝ้าระวังการระบาดของตั๊กแตนพันธุ์นี้สำหรับไทยปี 2519-2521 เคยระบาดในเขตเพชรบูรณ์ ลพบุรี นครสวรรค์ เลยเกิดตำนานแนะนำให้จับตั๊กแตนปาทังก้ามาทอดกิน กลายเป็นเมนูใหม่ ส่งผลให้บ้านเราแทบไม่เหลือ จนต้องสั่งจากกัมพูชา.