ภาพคนผมกระเซอะกระเซิง เนื้อตัวมอมแมมแต่งตัวซอมซ่อ บางรายไม่สวมเสื้อและรองเท้า เดินเพ่นพ่านรื้อคุ้ยเขี่ยถังขยะหาของกินประทังชีวิต ยามค่ำคืนอาศัยหลับนอนอยู่ตามใต้สะพานลอย ป้ายรถเมล์ หรืออาคารรกร้าง คนเมืองคงคุ้นเคยชินตากับ “คนเร่ร่อน หรือจรจัด”น่าสนใจว่าคนเหล่านี้มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในหัวเมืองหลัก...แต่...ในทางกลับกัน คนที่ถูกเรียกตัวว่า “คนเร่ร่อน” กลับไม่มีใครอยากเป็น“คนไม่มีบ้าน” พวกเขาอยากมีชีวิตที่ดี ไม่อยากโดนดูถูก “ใครเห็นก็รังเกียจ...เดินหนี” กลายเป็นบุคคลอันตรายต่อสังคมรอบข้าง แต่เพราะเขาถูกบีบไม่มีทางเลือก จำใจต้องเป็น “คนไร้บ้าน”สิทธิพล ชูประจง หน.โครงการผู้ป่วยข้างถนน มูลนิธิกระจกเงา เล่าให้ฟังว่า ในปี 2551 เคยสำรวจกลุ่มคนเร่ร่อนหรือคนไร้บ้าน ตามพื้นที่สาธารณะในกรุงเทพฯและปริมณฑล พบ 675 คน อายุ 26-45 ปี ต่อมาในปี 2553 มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยและเครือข่ายคนไร้บ้าน สำรวจพบ 1,093 คน แยกเป็นชาย 922 คน หญิง 141 คน เด็ก 30 คน ประเภทครอบครัว 25 ครอบครัว...และในปี 2554 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุถึงตัวเลขคนเร่ร่อน คนไร้ที่อยู่อาศัยมีจำนวน 3,676 คน ในปี 2557 มี 3,249 คน ชาย 2,003 คน หญิง 1,246 คนและในปี 2558 มี 1,300 คน นับตั้งแต่ปี 2559 รัฐบาลจัดระเบียบคนเร่ร่อน ทำให้กลุ่มคนไร้บ้าน อยู่กันแบบกระจัดกระจาย ไม่เกาะกลุ่มกันเหมือนเดิม บางส่วนขยายไปอยู่ชายขอบเมือง เช่น เขตพระราม 2 เขตบางขุนเทียน จ.สมุทรปราการ จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี และบางส่วนถูกพาไปอยู่ในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง...สถานสงเคราะห์แต่...ปัจจุบันคาดการณ์ตัวเลขคนเร่ร่อนไร้บ้านน่าจะมีถึง 2,500 คน ในจำนวนนี้ถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่มคน คือ “คนเร่ร่อน คนป่วยจิตเวช อดีตผู้ต้องขัง”ในตัวเลขนี้ 90 เปอร์เซ็นต์ “คนเร่ร่อน” หรือเรียกว่า “คนไร้บ้าน” มีบ้านและครอบครัว แต่มีปัญหาครอบครัวไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้ อาจจะด้วยสาเหตุมีฐานะยากจน ถูกผลักดันออกมาเร่ร่อนนอกบ้าน เริ่มเรียนรู้วิธีหาของกินที่ไหนได้บ้าง เรียนรู้เอาตัวรอดกับสิ่งแวดล้อม “วิถีเส้นทางคนข้างถนน” กลายเป็น “คนไร้บ้านโดยปริยาย”หลายคนเข้าใจว่าคนไร้บ้านเป็นคนขี้เกียจ ไม่มีงานทำ แต่ความจริง มีจำนวนไม่น้อยที่มีงานทำ เพียงแต่รายได้ไม่มากพอสร้างความมั่นคงในชีวิต เช่าห้องพักอาศัย หรือสะสมเงินทองให้เกิดคุณภาพที่ดีได้ ใช้ช่วงกลางวันออกทำงานรับจ้างทั่วไปหรือเก็บขยะขาย ตอนกลางคืนไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง ต้องอาศัยพื้นที่ตามสาธารณะหลับนอนชั่วคราว ตามสถานีขนส่งทางบก สถานีรถไฟ เพราะมีความปลอดภัย มีห้องน้ำไว้ใช้อาบน้ำ ซักผ้าและที่เหลืออีก 8 เปอร์เซ็นต์ เป็น...“คนไร้บ้าน” มีอาการป่วยจิตเวช ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติทางสมอง หรือจากปัจจัยทางจิตสังคม ความเครียดต่างๆ รวมถึงกลุ่มคนติดสุรา ยาเสพติด เข้าไม่ถึงระบบการรักษา จนเป็นผู้ป่วยทางจิตเวช...เดินออกจากบ้าน ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเดินไปไหน กลายเป็น “คนหาย” บางครอบครัวออกตามหา แต่บางครอบครัวก็ไม่ได้ออกตามหา เพราะมีฐานะยากจนไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการติดตามคนหายนับรวมไปถึง...คนต่างจังหวัด เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ แต่ตกงานกลับบ้านภูมิลำเนาไม่ได้ ต้องนอนกินอยู่ตามป้ายรถเมล์ เมื่อใช้ชีวิตเร่ร่อนในระยะหนึ่ง บางคนเกิดสะสมความเครียด นึกถึงอนาคตจะอยู่ต่อไป เริ่มมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวลสูง หันมาติดเหล้า ติดยา เพราะสภาพแวดล้อมข้างถนนไม่ได้อยู่แบบเรียบง่าย จนมีอาการทางจิต พูดคนเดียว เห็นภาพหลอน หูแว่ว กลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชข้างถนน... การใช้ชีวิตของคนไร้บ้านจิตเวช พฤติกรรมชอบอยู่เพียงลำพัง มีอาการพูดหัวเราะคนเดียว หวาดระแวง เห็นภาพหลอน หูแว่ว เนื้อตัวมอมแมม สูญเสียการดูแลตัวเองมากกว่าคนเร่ร่อนที่ไม่ใช่ป่วยทางจิตเวช แต่มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด หาอาหารกินเองได้ตามถังขยะ หรือขอผู้ใจบุญซื้อให้ คนกลุ่มนี้ชอบอาศัยอยู่ตามตลาดสด เช่น ตลาดลาดพร้าว 101 ตลาดบางกะปิ ซอยนานา ถนนสุขุมวิท เพราะเป็นพื้นที่ที่หาอาหารกินง่าย...เคยมีคนพูดกัน คนไร้บ้านจิตเวชมีพฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายคนทั่วไป เรื่องนี้ยอมรับว่าเกิดจากมีพฤติกรรมอาการกำเริบรุนแรง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยเคยติดสารเสพติด หรือติดสุรา มีสิ่งแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดคลุ้มคลั่ง อาละวาด ทำร้ายคนอื่น แต่พฤติกรรมก้าวร้าวแบบนี้จะเกิดขึ้นน้อยมากคนไร้บ้านในที่นี้ยังรวมไปถึง “อดีตผู้ต้องขัง” มีอยู่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มนี้เคยติดคุกพ้นโทษออกมา เมื่อกลับบ้าน ครอบครัว หรือญาติไม่ให้การยอมรับ หรือกลับไปแล้วแต่ครอบครัวย้ายบ้านไปอาศัยพื้นที่อื่น ติดต่อใครไม่ได้ ทำให้ไม่มีบ้านเหมือนเดิม ต้องจำใจมาเร่ร่อนหางานในเมืองหลักแต่กลายเป็นถูกตีตราว่า “คนขี้คุก...ขี้ตะราง” ไม่มีใครยอมรับเข้าทำงาน สุดท้ายต้องเป็นคนไร้บ้าน เร่ร่อนอาศัยหลับนอนอยู่ใต้สะพานลอย ตอนกลางวันออกขอเงินผู้ใจบุญตามแหล่งชุมชนสิทธิพล ย้ำว่า คนไร้บ้านในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลไม่เปลี่ยนจากอดีตมาก เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนทางสุขภาพที่ดี เข้าไม่ถึงสวัสดิการ ไม่เคยได้รับสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน “ชีวิตเสี่ยงอันตรายมากมาย” ไม่มีสิ่งใดประกันได้เลยว่า “พรุ่งนี้พวกเขาจะมีชีวิตต่อ...หรือมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไร”ทำให้เกิดความเครียด ความหวาดระแวง ส่งผลให้สุขภาพจิตย่ำแย่คนเหล่านี้ต้องการเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ด้วยความเป็นอยู่ของคนไร้บ้าน ไม่มีเอกสารทางราชการระบุตัวตนสถานะการเป็นพลเมือง หรือบัตรประชาชน ทำให้ใช้สิทธิหลักประกันสวัสดิการต่างๆไม่ได้ จนเป็นสาเหตุคนไร้บ้านป่วยเสียชีวิตตามที่สาธารณะ 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี...เพราะระบบจัดการภาครัฐแก้ไม่ถูกจุดสำคัญ ส่วนกลไกที่มีอยู่ดำเนินการไม่สอดคล้องปัญหาจริง เช่น รัฐบาลมีนโยบายจัดระเบียบคนเร่ร่อนในกรุงเทพฯ จับมาคัดกรอง แยกคนเร่ร่อน และผู้ป่วยจิตเวชออกจากกันผู้มีอาการป่วยจิตเวชต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชของภาครัฐ ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ.2551 ที่ไม่สอดคล้องสภาพความเป็นจริง หากไม่ใช่โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวชของรัฐ จะไม่รับผู้ป่วยจิตเวชเข้ารักษา เพราะความแออัดของผู้ป่วยเดิมที่มีอยู่ผู้ป่วยจิตเวชต้องถูกส่งไปโรงพยาบาลเฉพาะทาง มีอยู่ไม่กี่แห่ง เมื่อสิ้นสุดกระบวนการรักษา จะถูกส่งไปที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ประเด็นสำคัญมีว่า...สถานสงเคราะห์มีอยู่ทั่วประเทศ ไม่มีกระบวนการฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวช ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น มีกิจกรรมให้ผู้ป่วยจิตเวช ฟื้นฟูพัฒนาการด้านต่างๆ แต่กลับฟื้นฟูแบบประคองให้มีชีวิตอยู่ได้ มีอาหารกิน และมีที่นอนให้เท่านั้นส่วนคนเร่ร่อน ผ่านการคัดกรองต้องเข้าสู่ระบบสวัสดิการของรัฐบาล นำตัวส่งเข้าไปในสถานสงเคราะห์ อยู่รวมกันกับผู้ป่วยจิตเวช หลังรักษาหายแล้ว มีสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นการซ้ำเติมคุณภาพชีวิตของคนเร่ร่อน และผู้ป่วยจิตเวชย่ำแย่ลงกว่าเดิม เพราะสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศแต่ละแห่ง แน่นเกินอัตรารองรับได้เดิมอยู่แล้ว ยิ่งมีนโยบายจัดระเบียบ ทำให้คนเร่ร่อนเข้าสู่ระบบสถานสงเคราะห์สูงขึ้น ก็ยิ่งล้นระบบตอนนี้ภาครัฐบาล แก้ปัญหาแบบระบบแช่แข็ง ตั้งเซตระบบจัดเตรียมแบบสำเร็จรูป นำคนไร้บ้านเข้าไปอยู่ในสถานสงเคราะห์ แบบไม่มีสิทธิ์เลือกวิธีอื่น เป็นผลไม่ตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิต...“คนไร้บ้านสะท้อนสังคมจากปัญหาประชาชนเข้าไม่ถึงสิทธิในหลายด้าน ภาครัฐฯควรดูแลเรื่องสวัสดิการความจำเป็นขั้นพื้นฐานเพื่อเป็นหลักประกันในคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเรื่องรายได้ ควรกำหนดทุกคนมีรายได้ไม่ต่ำกว่าเท่าไหร่ต่อเดือน เช่น ต้องมีรายได้เดือนละ 4 พันบาท เมื่อคนมีรายได้ดี คนเร่ร่อน...คนไร้บ้านก็จะลดลง”“คนเร่ร่อน” เป็นปัญหาซ้ำซากมานาน แก้แบบผักชีโรยหน้ามาหลายยุคหลายสมัย คงต้องฝากความหวังไว้กับรัฐบาล ขจัดปัญหาแบบบูรณาการทั้งระบบ เพื่อสังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น...