ทั่วโลกกำลังแตกตื่นกับการระบาดของโรค ฝีดาษลิง หรือ monkeypox ซึ่งจริงๆก็ไม่ใช่โรคใหม่ แต่เป็นโรคที่เคยระบาดมาแล้วมากกว่า 20 ปี เดิมเป็นโรคในสัตว์ ไม่เฉพาะแต่ลิง แต่รวมถึงสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า รวมทั้งคนด้วย ก่อนหน้านี้พบการติดเชื้อประปรายในประเทศแถบแอฟริกามากที่สุดโรคฝีดาษลิงถูกค้นพบครั้งแรกในโลกตั้งแต่ปี พ.ศ.2501 จากลิงที่ป่วย แต่พบการติดเชื้อในคนเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2513 หรือประมาณ 52 ปีมาแล้ว ที่ประเทศคองโก เดิมเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยมีการรายงานการเกิดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์แอฟริกา กลาง และ สายพันธุ์แอฟริกา ตะวันตกโดยสายพันธุ์แอฟริกากลางเป็นสายพันธุ์ที่มีการรายงานติดต่อจากคนสู่คนมากกว่าสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก สอดคล้องกับปัจจุบันที่พบการติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงมากที่สุดในกลุ่มชายรักชายและเด็ก ตัวเลขล่าสุดจาก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหภาพยุโรป (European Centre for Disease Prevention and Control : ECDC) ระบุว่า พบการติดเชื้อใน 22 ประเทศทั่วโลก โดยมีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 300 ราย หลังการติดเชื้อไวรัสจะอยู่ในต่อมน้ำเหลือง และใช้เวลาฟักตัว 7-21 วันจึงแสดงอาการ โดยอาการจะเริ่มจากมีไข้ และต่อมน้ำเหลืองโต 1-2 วันจึงมีผื่น เชื้อสามารถแพร่กระจายได้ตั้งแต่มีไข้ ส่วนผื่นจะเริ่มจากมีแผลในปาก จากนั้นจะเริ่มมีผื่นขึ้นที่ตัว หน้า ฝ่ามือ และฝ่าเท้า โดยผื่นจะมีขนาด 2-10 มิลลิเมตร ในช่วง 2-4 สัปดาห์ต่อมา ผื่นจะค่อยๆเปลี่ยนจากผื่นนูนแดง เป็นตุ่มน้ำ แล้วจึงเป็นฝี โดยผื่นจะเปลี่ยนรูปแบบพร้อมๆกันทั่วทั้งตัว หลังตุ่มหนองแตกจนแห้งดี ผู้ป่วยก็จะอาการดีขึ้น และหมดระยะในการแพร่กระจายให้ผู้อื่นโรคนี้ไม่มียารักษาจำเพาะ แต่สามารถหายได้เอง อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 1-10% ในบางประเทศเริ่มมีการผลิตวัคซีนเฉพาะสำหรับโรคฝีดาษลิงชื่อว่า Ankara ซึ่งพบว่ามีผลข้างเคียงน้อยกว่าการให้วัคซีนสำหรับฝีดาษลิงเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสตระกูลเดียวกับฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า Smallpox เกิดจากเชื้อไวรัส Variolar ลักษณะอาการของโรคคล้ายกันคือ มีผื่นขึ้นตามตัว มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัวจนทรมาน คนที่เป็นโรคสามารถหายได้ แต่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30% สมัยก่อนการป้องกันโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษคือการฉีดวัคซีนที่เรียกว่าการปลูกฝี เคยมีการระบาดรุนแรงในประเทศอินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน เมื่อปี 2519 ส่วนประเทศไทยในประวัติศาสตร์โรคฝีดาษมีการระบาดอยู่เรื่อยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดเหตุการณ์ระบาดครั้งใหญ่ที่สุดทั่วประเทศ ส่วนการระบาดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 2504 องค์การอนามัยโลกอนุมัติให้เลิกฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษไปในยุโรปเมื่อปี 2513 และ ประเทศไทยได้ยุติการปลูกฝีไปเมื่อปี 2523ปัจจุบันโรคฝีดาษถูกกวาดล้าง (Eradicate) หมดไปจากโลกนี้แล้ว แต่ยังมีการเก็บตัวอย่างเชื้อไว้เพื่อสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม จนได้มีการผลิตยารักษาโรคฝีดาษตัวใหม่คือ ยา Tecovirimat (TPOXX) ในปี 2018 ที่ผ่านมา รองรับการระบาดในอนาคต อีกโรคที่มีลักษณะคล้ายกัน แต่รุนแรงน้อยกว่าก็คือ Chickenpox หรือ อีสุกอีใส เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus) เป็นโรคที่ติดเชื้อได้ง่ายสำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสหรือไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อน อาการของโรคจะเริ่มจากผื่นคันและจะมีอาการอยู่ประมาณ 10-21 วันหลังจากผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัส หลังจากนั้นจะเกิดผื่นพุพองที่จะแสดงอาการอยู่ประมาณ 5-10 วัน โดยอาการที่อาจเกิดก่อนที่จะมีผื่นขึ้น เช่น มีไข้ เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ อ่อนล้า ไม่สบายตัวในอดีตทุกคนมีโอกาสป่วยเป็นอีสุกอีใสอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต เพราะไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันอีสุกอีใสที่แพทย์มักแนะนำให้ฉีดตั้งแต่ยังเด็ก เช่นเดียวกับวัคซีนโรคงูสวัดอย่าง Shingrix ที่ได้รับการรับรองว่าเหมาะสำหรับผู้ป่วยอายุ 50 หรือมากกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคงูสวัดที่เกิดจากไวรัสชนิดเดียวกัน และอาจเป็นอันตรายขึ้นสมองได้ในผู้สูงอายุ.