นับตั้งแต่การกำเนิดขึ้นของสัตว์ในยุคแรกๆ โลกเผชิญกับเหตุการณ์สูญพันธุ์ครั้งใหญ่ถึง 5 ครั้ง การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่มักได้ยินบ่อยๆ ก็คือครั้งที่ 4 เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดยุคไทรแอสสิกเมื่อราว 201 ล้านปีก่อน ซึ่งสัตว์ทะเลและสัตว์บกหลายชนิดโดยเฉพาะสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มจระเข้ตัวใหญ่ได้สูญพันธุ์ไป ทว่าผลจากการที่สัตว์ถึง 60-70% ได้หายไป กลับเป็นผลให้ไดโนเสาร์ตัวเล็กๆสามารถเติบโตและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมานักวิทยาศาสตร์คิดว่าการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 4 เกิดขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟใน Central Atlantic Magmatic Province ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคของหินภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างการปะทุและการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ยังไม่ได้ถูกชี้แจง ล่าสุดทีมวิจัยนานาชาตินำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโทโฮคุในญี่ปุ่น ที่ได้วิเคราะห์โมเลกุลอินทรีย์และปรอทของหินตะกอนจากทะเลที่พบในออสเตรียและอังกฤษ และสาธิตวิธีที่หินหนืดที่มีอุณหภูมิต่ำสามารถทำให้หินตะกอนอุ่นขึ้นอย่างช้าๆ จนเกิดซัลเฟอร์ไดออกไซด์สูงและปล่อยก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ต่ำกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้โลกเย็นลงทีมวิจัยเผยว่า การระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรวมถึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการ โดยอุณหภูมิของภูเขาไฟที่ปะทุจะเป็นตัวกำหนดว่าอากาศเย็นหรืออุ่น และการวิจัยนี้คือการค้นพบหลักฐานบ่งชี้ว่าอุณหภูมิที่ต่ำลงของภูเขาไฟ นำไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 4 และทำให้สายพันธุ์ไดโนเสาร์เจริญเติบโตต่อมาในยุคจูราสสิก.(ภาพประกอบ Credit : Kunio Kaiho et al.)