หลังการบูรณะอย่างพิถีพิถันนานกว่า 20 ปี “ยักษ์หลับ” แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ หรือ “โคลอสซีแห่งเมมนอน” ประติมากรรมหินทรายขนาดมหึมา ณ สุสานโบราณแห่งธีบส์ ถูกเผยโฉมสู่สายตาชาวโลกอย่างเป็นทางการ สะท้อนยุทธศาสตร์ของอียิปต์ในการปลุกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยใช้มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าเป็นแรงดึงดูดรูปปั้นฝาแฝดสูง 14.5 ม. และ 13.5 ม. แกะสลักเป็นพระพักตร์ของ ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 ผู้ปกครองอียิปต์ช่วงยุคอาณาจักรใหม่ที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งที่สุดเมื่อราว 3,400 ปีก่อน ตั้งตระหง่านอยู่หน้าอดีตวิหารประกอบพิธีศพขององค์ฟาโรห์ แม้มหาแผ่นดินไหวเมื่อ 1,200 ปีก่อนคริสตกาลจะทำลายวิหารจนสิ้น เหลือเพียงรูปปั้นที่เสียหายหนัก แต่ด้วยความมุ่งมั่นของคณะทำงานร่วมอียิปต์-เยอรมัน ภายใต้การนำของนักอียิปต์วิทยา “ฮูริก ซูรูเซียน” ผืนดินที่เคยเงียบเหงาก็กลับมาสดใส ด้วยเทคนิคการสลักและประกอบหินอลาบาสเตอร์นำมาประกอบอย่างวิจิตรบรรจงการคืนชีพของยักษ์คู่นี้ สอดรับกับการเปิดตัว พิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์ (GEM) มหาวิหารทางประวัติศาสตร์ พื้นที่เกือบ 500,000 ตร.ม. ใกล้มหาพีระมิดแห่งกีซา รวบรวมสมบัติของชาติไว้มากกว่า 100,000 ชิ้นจาก 30 ราชวงศ์ นับแต่เปิดให้เข้าชมเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา มียอดผู้เยี่ยมชมล้นหลามเฉลี่ยวันละ 15,000-19,000 คน และเคยพุ่งสูงถึง 27,000 คน แม้จะยังมีกระแสวิจารณ์เรื่องการบริหารจัดการบัตรเข้าชมหนาหูรัฐบาลอียิปต์เชื่อมั่นว่ามนต์ขลังของอารยธรรมลุ่มน้ำไนล์จะเป็นแม่เหล็กสำคัญดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก ให้ทะลุเป้า 18 ล้านคนในปีนี้ และทะยานสู่ 30 ล้านคนภายในปี 2575 เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้กลับมารุ่งโรจน์และมั่นคงอย่างยั่งยืน.อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม