ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 20 มนุษย์เรามุ่งมั่นกับการร้องหาความเท่าเทียมกัน ตั้งแต่ความเท่าเทียมระหว่างชนชั้น ไปจนถึงความเท่าเทียมกันของชาติพันธุ์ และเพศสภาพ แม้ว่าโลกของเราในปี 2000 ยังคงมีชนชั้น แต่ก็ถือว่าเป็นยุคที่มีความเท่าเทียมมากกว่าโลกในปี 1900พอเปลี่ยนปฏิทินเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21 ผู้คนทั่วโลกต่างคาดหวังว่า กระบวนการที่นำไปสู่ความเสมอภาคจะเดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็วขึ้น โดยฝากความหวังไว้ว่า “โลกาภิวัตน์” และ “การเข้าถึงอินเตอร์เน็ต” จะทำให้ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกผลลัพธ์ที่ได้ก็อย่างที่เห็น ทุกวันนี้คนบนยอดพีระมิดยังคงผูกขาดผลพวงจาก “โลกาภิวัตน์” เช่นเดียวกับเมื่อครั้ง “ปฏิวัติอุตสาหกรรม” ซึ่งเดิมทีคาดหวังว่า จะช่วยทำให้ “มวลชน” หรือ “ประชาชน” มีความสำคัญมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมต้องพึ่งพามวลชนที่เป็นมนุษย์งานจำนวนมาก สมัยนั้นรัฐบาลไม่ว่าในระบอบประชาธิปไตย หรือเผด็จการ จึงยอมลงทุนมหาศาลกับเรื่องสุขภาพ, การศึกษา และสวัสดิการของมวลชน เพราะพวกเขาต้องอาศัยคนงานที่มีสุขภาพดีนับล้านๆคนทำงานในสายการผลิตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างชาติสร้างเศรษฐกิจมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 21 ในยุค AI ครองโลก ใครๆก็คาดหวังว่า “การเข้าถึง AI อย่างเสรี” และ “ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี” จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้มากขึ้น แต่เอาเข้าจริงๆแล้วอาจเป็นยุคที่สร้างสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแปลงความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจให้กลายเป็นความไม่เท่าเทียมกันทางชีวภาพในที่สุดคนรวยล้นฟ้าก็อาจจะรู้สึกคุ้มค่าที่จะใช้ความมั่งคั่งอย่างล้นเหลือทำอะไรบางอย่างเพื่อซื้อชีวิตตัวเอง โดยยืดอายุและอัปเกรดความสามารถทางกายภาพและสติปัญญา ทิ้งห่างคนจนๆให้เป็นชนชั้นไร้ประโยชน์ที่ไม่มีวันไล่ตามทันหากคนรวยใช้ความสามารถที่เหนือกว่าในการเพิ่มคุณค่าตัวเอง และหากเงินที่มากกว่าช่วยให้พวกเขาซื้อร่างกายและสมองที่เหนือกว่าได้ ยิ่งเวลาผ่านไปช่องว่างทางสังคมก็จะยิ่งถ่างกว้างขึ้น “ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” นักเขียนชื่อดังชาวยิว เจ้าของหนังสือประวัติย่อมนุษยชาติอันลือลั่น “Sapiens : A Brief History of Humankind” คาดการณ์ว่า ภายในปี 2100 คนรวยที่สุด 1% ของโลก ไม่เพียงแต่จะครอบครองความมั่งคั่งของโลกไว้ได้มากที่สุด แต่ยังสามารถครอบครองสุขภาพที่ดีที่สุดของโลกได้ด้วย เขาเรียกคนกลุ่มน้อยนิดนี้ว่า “อภิมนุษย์” หรือ superhuman นี่ไม่ใช่นิยายไซไฟ แต่โลกอนาคตมีแนวโน้มเดินไปทางนี้ หลังจบยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม “มวลชน” ที่เคยเป็นแรงงานหลักในการสร้างโลกสร้างเศรษฐกิจจะถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี และแทนที่ด้วย AI เพราะสูญเสียความสำคัญทางเศรษฐกิจและอำนาจต่อรองทางการเมืองไปแล้ว ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ รัฐบาลขาดแรงจูงใจที่จะลงทุนด้านสุขภาพ, การศึกษา และสวัสดิการสังคม เพื่อเอาใจฐานเสียงเก่าอย่างมวลชน ในเมื่อพวกเรายังห่วงปากท้องมากกว่าห่วงประเทศ แล้วจะเอาสมองที่ไหนไปรับมือกับความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติไบโอเทคและอินโฟเทค เพื่อความอมตะของคนรวย 1%.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม