สถานการณ์ความขัดแย้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้แสดง ให้เห็นประจักษ์ชัดว่า อากาศยานไร้คนหรือ “โดรน” ถือเป็นยุทโธปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่ว่าจะเป็นการรบในยูเครน ภูมิภาคตะวันออกกลาง สงครามกลางเมืองเมียนมา ไปจนถึงการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา โดรนชนิดต่างๆต่างมีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นอุปกรณ์สนับสนุนตรวจตราความเคลื่อนไหวในสมรภูมิหรือหลังแนวรบ กลับกลายมาเป็นอาวุธที่ใช้ในการโจมตีต่อเป้าหมายทางทหารหรือพลเรือนโดรนที่เคยเป็นเครื่องมือสอดแนมชี้เป้าให้ปืนใหญ่ หรืออาวุธยาว ถูกพัฒนาขีดความสามารถเพื่อใช้ในการทิ้งระเบิดสังหารบุคคล วางกับระเบิด จนถึงการนำมาใช้เป็นอาวุธพิฆาต ติดหัวรบ พุ่งชนทำลายเป้าหมาย ยุทโธปกรณ์ราคาแพงหลักล้าน กลายเป็นเศษซากด้วยของราคาถูกเพียงหลักพันหรือหลักหมื่นแน่นอนว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แวดวงความมั่นคงต่างรับรู้ถึงภัยคุกคามแบบใหม่ และมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการหาทางแก้เกม เป็นที่มาของโอกาสครั้งนี้ที่ทีมข่าวต่างประเทศหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้รับคำเชิญจากกระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน ให้เข้าพบปะพูดคุยกับ “หวาง อวี้ จวี” ประธานบริษัท “ทรอน ฟิวเจอร์ เทค” ผู้พัฒนาและผลิตเทคโนโลยีต่อต้านโดรน ซึ่งตอบรับกระแสกับสถานการณ์ในปัจจุบันเอาเข้าจริงแล้ว บริษัทของเราถือกำเนิดขึ้นช่วง 5-6 ปีก่อน ในฐานะบริษัทนวัตกรรมด้านการสื่อสารดิจิทัล และพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ แต่หลังจากสงครามยูเครนอุบัติขึ้น สภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงเปลี่ยนไป กองทัพจีนเริ่มนำโดรนมาออกโรงตรวจตราความเคลื่อนไหวรอบๆไต้หวัน ได้ทำให้เราเล็งเห็นถึงความจำเป็น สอดคล้องไปกับทิศทางนโยบายความมั่นคงของรัฐบาลไต้หวันสิ่งที่เรารับรู้คือโดรนถือเป็นอาวุธราคาไม่แพงที่สามารถทำลายเป้าหมายที่มีมูลค่าสูง ต่อมาคือระบบตรวจจับ เรดาร์ของระบบต่อต้านอากาศยานที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน ยากที่จะตรวจจับโดรนที่ใช้กันเกลื่อนสนามรบในขณะนี้ กล่าวคือระบบไม่สามารถล็อกเป้าได้ เหล่าทหารในสนามรบต้องหาทางแก้ไขกันเอง จึงเป็นที่มาของการพัฒนาระบบเรดาร์ที่มีความละเอียดสูงของบริษัท เพื่อให้สามารถตรวจจับโดรนขนาดเล็ก โดยเฉพาะการตรวจจับโดรนหลายเป้าหมายพร้อมกันๆ เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ การใช้โดรนจะไม่ได้มาเพียงลำสองลำ แต่มากันเป็นฝูงเหมือนผึ้ง หรือที่เรียกกันว่า “สวอร์ม”ประการต่อมาคือ การพัฒนาระบบ “กวนสัญญาณ” แจมมิง เพื่อตัดการควบคุมระหว่างตัวโดรนกับผู้ปฏิบัติการ ซึ่งผลิตและเริ่มการติดตั้งเป็นที่เรียบร้อย ภายใต้ชื่อว่า ที.แจมมิง วิธีทำการคือระบบตัวนี้จะยิงคลื่นรบกวนออกไปเพื่อให้โดรนเสียการควบคุม ร่วงหล่นจากฟ้า ตอนนี้เราพัฒนาการยิงคลื่นในระยะ 5–6 กิโลเมตรในมุมกว้างสิบองศา (แต่ฝ่ายเทคนิคยอมรับว่าเค้นระยะยิงได้กว่านั้น)เมื่อถามว่ายังอยู่ในขั้นทดลองหรือไม่ หวาง อวี้ จวี เปิดเผยว่ามีการติดตั้งจริงแล้วในสนาม ตอนนี้อยู่ที่เกือบ 30 ระบบ ส่วนใหญ่อยู่บนเกาะ “จินเหมิน” ที่อยู่ติดกับจีน เช่นเดียวกับบนเกาะไต้หวันที่เริ่มการติดตั้งแล้วเช่นกัน ภายใน 5 ปี หวังไว้ว่าจะติดตั้งได้กี่ระบบ ประธานทรอน ฟิวเจอร์ เทคคิดสักครู่ก่อนตอบว่า ในเชิงของผู้คิดค้นนวัตกรรมมีความเชื่อว่าเทคโนโลยีเปลี่ยน แปลงได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่ใช้ได้ผลในช่วงปีนี้อาจไม่ได้ผลอีกต่อไปในปีหน้า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจับตาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และรีบอัปเกรดระบบเดิมที่ใช้อยู่หนึ่งระบบราคาอยู่ที่ประมาณ 1 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 34 ล้านบาท ตัวเลขนี้เรามองว่าเป็นทางเลือกให้ผู้ที่สนใจ เรามองว่าบริษัทเทคโนโลยีในประเทศใหญ่ก็พยายามพัฒนาระบบต่อต้านโดรนเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าของจากประเทศใหญ่ย่อมมีราคาแพง สมมติหนึ่งระบบ 30 ล้านดอลลาร์ ไม่ขอเข้าไปแข่งตรงนั้น อยากหาลูกค้า เสนอออปชันให้แก่ประเทศที่ต้องมีการจัดสรรงบประมาณตามความเหมาะสมก้าวต่อไปคือการพัฒนาระบบ “ฮาร์ดคิล” เพราะเทคโนโลยีที่มีอยู่ตอนนี้ จัดอยู่ในข่าย “ซอฟต์คิล” ส่งคลื่นไปกวนให้โดรนเสียการควบคุมตกไปเอง แต่ในสนามรบตอนนี้ได้ขยับไปอีกขั้น คือโดรนที่ควบคุมด้วยเคเบิลใยแก้วไฟเบอร์ออปติก ที่ไม่สามารถแจมมิงได้เลย คำว่าฮาร์ดคิลคือการทำลายเป้าหมายในทางกายภาพ เช่น การส่งโดรนขนาดเล็กออกไปพุ่งชนทำลายโดรนที่ข้าศึกส่งมา ถามว่าต้องมีระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาช่วยในเรื่องนี้หรือไม่ มองว่าไม่จำเป็น เพราะระบบควบคุมถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นระบบที่มีเครือข่ายเน็ตเวิร์กของตัวเองเพื่อป้องกันการถูกแฮ็กเจาะระบบ เราเคยถูกพยายามเจาะระบบครั้งหนึ่งโดยจีน แต่ไม่สำเร็จส่วนเรื่องการทำโดรนยานแม่บินออกไปยิงคลื่นกวนสัญญาณ ตั้งแต่ยังไม่เข้าระยะ 5 กิโลเมตรทำได้ไหม ต้องบอกว่านโยบายความมั่นคงของไต้หวันไม่ใช่เชิงรุกแต่เป็นเชิงรับ อีกทั้งระบบในรูปแบบนี้สูบพลังงานมากไปมีความร่วมมือกับรัฐบาลไทยบ้างหรือไม่ หวาง อวี้ จวี ตอบสั้นๆว่ายังไม่มีเลย ใน “ตอนนี้” ต่างประเทศที่เรากำลังดีลอยู่คือฟิลิปปินส์ที่แสดงความสนใจ และได้มีโอกาสคุยกับรัฐบาลอินเดียในช่วงที่เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งช่วงเดือน พ.ค. ส่วนรัสเซียกับอิหร่านเราไม่สามารถทำธุรกิจด้วยได้เลย.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม