ไม่นานนี้มีข่าวว่ารัฐบาลจีนประกาศอุดหนุนค่าเลี้ยงดูบุตรทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนให้แต่ละครอบครัวมีบุตรมากขึ้น โดยจะให้เงินครอบครัวละ 16,200 บาทสำหรับเด็กเกิดใหม่ 1 คนจนถึงอายุ 3 ขวบโดยนโยบายนี้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 คาดว่าจะช่วยเหลือได้มากกว่า 20 ล้านครอบครัวทั่วประเทศนับเป็นการกลับด้านนโยบายสุดขั้วของรัฐบาลจีนที่เคยขึ้นชื่อลือชามากเรื่องการใช้ “นโยบายลูกคนเดียว” ต่อ 1 ครอบครัวอย่างเข้มงวดเคร่งครัดในช่วง 40 ปีที่แล้ว ที่นาย “เติ้ง เสี่ยว ผิง” เป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน ถ้าใครฝ่าฝืนจะถูกปรับเงินอย่างหนัก สาเหตุที่รัฐบาลจีนยุคนั้นต้องเข้มงวดหนักกับเรื่องนี้เพราะในช่วงปลายทศวรรษ 1970 จีนอยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศหลังผ่านช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมแต่กาลเวลาผ่านไปกว่า 40 ปี สังคมจีนเปลี่ยนแปลงไปมาก ผลจากการใช้นโยบาย “ลูกคนเดียว” อย่างเข้มงวดทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน โดยในปี 2555 ประชากรวัยทำงานลดลงกว่า 3.45 ล้านคน ทำให้รัฐบาลจีนยกเลิกนโยบายนี้ในปี 2559 โดยอนุญาตให้ครอบครัวมีบุตรได้ 2 คน และเพิ่มเป็น 3 คนในปี 2564 แต่อัตราการเกิดของประชากรจีนก็ยังต่ำอยู่ และลดลงต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว เป็นเพราะอะไร?สำนักข่าว “ซีเอ็นเอ็น” สอบถามความเห็นของชาวจีนในเรื่องนี้ หลายคนบอกว่า เงินเพียง 16,000 กว่าบาทเป็นเพียงหยดน้ำในทะเล เพราะค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตตอนนี้พุ่งสูงมาก อย่างที่กรุงปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งอยู่ที่ราว 4.2 ล้านบาทต่อคน ส่วนที่นครเซี่ยงไฮ้ อยู่ที่ 4.5 ล้านบาท ขณะที่ค่าครองชีพยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งราคาบ้านที่พักอาศัยบวกกับปัจจัยเรื่องชั่วโมงและจำนวนวันที่ทำงานมากใน 1 สัปดาห์จนเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ สถานะการงานที่ไม่แน่นอนในสภาพเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน ทำให้หนุ่มสาวชาวจีนสมัยใหม่เลือกที่จะอยู่โสด เพราะโครงสร้างสังคมสมัยใหม่ที่ไม่เอื้อให้มีลูกอย่างมีคุณภาพหนุ่มสาวชาวจีนหลายคนเคยเจอประสบการณ์สมัยเด็กที่ครอบครัวพวกเขาถูกทางการจีนปรับเงินอย่างหนักเพราะพ่อแม่ของพวกเขามีลูกมากกว่า 1 คน หลายคนถึงกับนำภาพใบเสร็จค่าปรับในอดีตที่ทางการออกให้มาโพสต์ลงโซเชียลมีเดียด้วยดูแนวโน้มแล้ว มีโอกาสสูงมากที่จีนจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตามอย่างญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้.ผู้เล็กน้อยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม