ตรงกับ วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม วันคล้ายวันพระราชสมภพของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง พสกนิกรชาวไทยร่วมใจถวายพระพรทรงพระเจริญยิ่งยืนนานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ นัดพบปะหารือกับ ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่รัฐอลาสกา ในวันศุกร์ที่ 15 ส.ค.ที่จะถึงนี้ สาระสำคัญไม่พ้นเรื่องการยุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่ทรัมป์เคยกดดันรัสเซียไปหลายครั้ง แม้ท่าทีของทรัมป์ไม่ได้สนับสนุนยูเครนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ใช้ยูเครนเป็นกลไกที่ทรัมป์จะใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับรัสเซีย ซึ่งดูเหมือนว่าทรัมป์ตั้งใจจะปักหมุดยุทธศาสตร์ในยุโรปและเอเชียเป็นพิเศษ ทรัมป์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพื้นที่ในตะวันออกกลาง ที่ดูเหมือนจะลอยแพอิสราเอลด้วยซ้ำ แต่ถ้าอิสราเอลจะทำสงครามกับ ปาเลสไตน์ หรืออิหร่านต่อไปก็ไม่ว่า เพราะทรัมป์ต้องการสร้างบทบาทใหม่ให้กับประเทศสหรัฐฯ เป็นผู้ยุติสงครามมากกว่าการก่อสงคราม ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดสงครามขึ้นที่ไหน ทรัมป์จะยื่นมือเข้าไปไกล่เกลี่ยทันทีปัจจุบันสหรัฐฯกลับไม่ให้ความสำคัญกับ สงครามการก่อการร้าย อีกต่อไป แต่มุ่งไปที่ สงครามนิวเคลียร์ ซึ่งมีไม่กี่ประเทศที่สะสมอาวุธนิวเคลียร์ อาทิ รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ ที่ประกาศชัดเจนว่ามีขีปนาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเกิด สงครามโลกครั้งที่สาม ตราบใดที่ยังไม่มีการรบด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทุกอย่างอยู่ใน ภูมิรัฐศาสตร์สงครามเย็น ต่อไป การรบด้วยกำลังกองโจรกับระเบิด โดรน การปะทะด้วยอาวุธขนาดเล็ก จรวด ปืนใหญ่ นานครั้งที่จะเห็นการใช้เครื่องบินรบ เพราะการใช้อาวุธหนักเท่ากับเป็นการเพิ่มต้นทุนทางสงครามและจะทำให้มีการขยายพื้นที่จนไม่สามารถควบคุมได้ถ้าจะให้เดาล่วงหน้า ผู้นำรัสเซียคงไม่ยอมเสียเหลี่ยมทรัมป์ง่ายๆ ซึ่งทรัมป์ได้ประกาศไปล่วงหน้าแล้วว่า เรากำลังใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงสันติภาพ แต่ถ้าจะให้ยูเครน หรือรัสเซียจะต้องเสียดินแดนส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น สิทธิเหนือคาบสมุทรไครเมียในทะเลดำของยูเครน ที่รัสเซียอ้างตามกฎหมายปี 2014 รวมไปถึงภูมิภาคทางตะวันออกและทางใต้ของยูเครนในโดเนตสค์ ลูฮันสค์ ซาปอริซเซีย และคอร์ซอน ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบมาจากความขัดแย้งเรื่องเขตแดนประธานาธิบดีเซเลนสกี ของยูเครน จะยอมเสียดินแดนที่รัสเซียต้องการหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่สภาพของยูเครนตอนนี้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าสหรัฐฯที่เข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพ ไม่สนับสนุนด้านปัจจัย ก็ไม่มีทางรับมือกับรัสเซียได้นานขนาดนี้มีหลายประเทศที่พยายามจะต่อต้านมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เช่น อินเดีย ที่มีประชากรเป็นอันดับสองของโลกพอๆกับจีนมีแผนที่จะชะลอการซื้ออาวุธและเครื่องบินจากสหรัฐฯ หลังจากถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษี 50%อินเดีย เคยแน่นแฟ้นกับ รัสเซีย นำเข้าอาวุธและน้ำมันจากรัสเซียเป็นอันดับสอง ต่อมาหันไปญาติดีกับสหรัฐฯ เพราะรัสเซียมัวไปทำสงครามกับยูเครนและสหรัฐฯตั้งมาตรการภาษีมาบีบ ส่องสถานการณ์โลกล้อมประเทศ คุ้นๆชอบกล เหมือนไทยกับกัมพูชา ที่กำลังเผชิญหน้าทำสงครามเขตแดนกันอยู่ในขณะนี้ พี่เบิ้มได้ทั้งโล่ได้ทั้งกล่อง.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม