ขณะที่หลายภูมิภาคอยู่ในความขัดแย้ง รบพุ่งกันไม่เว้นแต่ละวัน ซาอุดีอาระเบียเร่งพัฒนาประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก โดยผสมผสานปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และโครงการ Mega-City เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ 2030 ให้เป็นจริงอย่างต่อเนื่องซาอุฯใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยแก้ปัญหาที่มีในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องทรัพยากรน้ำ อย่างเช่นโครงการหอคอยเลเซอร์พลังแสงอาทิตย์ในทะเลทรายที่ริเริ่มตั้งแต่ ค.ศ.2021 เลเซอร์นี้ช่วยนำทางคนหลงทางไปยังแหล่งน้ำโดยไม่ต้องพึ่งแบตเตอรี่หรืออินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นนวัตกรรมช่วยชีวิตที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและขยายตัวอย่างต่อเนื่องโครงการนี้ริเริ่มโดยนักสำรวจและนักอนุรักษ์ชื่อ นายโมฮัมมัด ฟูเฮด อัล-โซไฮมาน อัล-รัมมาลี ซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวกับทีมกู้ภัยในพื้นที่แล้วเห็นปัญหาคนเสียชีวิตใกล้น้ำแต่หาไม่เจอ ทางการซาอุฯจึงพัฒนาเทคโนโลยีและติดตั้งหอคอยเลเซอร์พลังงานแสงอาทิตย์ในทะเลทรายนาฟูดเพื่อช่วยนำทางนักเดินทางที่หลงทางไปยังแหล่งน้ำที่สำคัญ โดยเลเซอร์จะส่องได้ในเวลากลางคืน และสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการติดตั้งหอคอยไปแล้วหลายแห่ง และมีแผนขยายเพิ่มอีกจำนวนมาก กลายเป็นระบบความปลอดภัยที่ยั่งยืนในหนึ่งพื้นที่ที่ท้าทายที่สุดของโลกนอกจากนั้น ผู้อ่านท่านคงทราบว่า ซาอุฯเป็นประเทศที่ขาดแคลนน้ำ เพราะตั้งอยู่ในภูมิภาคทะเลทรายที่มีฝนน้อยมาก แหล่งน้ำตามธรรมชาติไม่ว่าจะแม่น้ำหรือทะเลสาบแทบจะไม่มีเลย น้ำที่ได้ส่วนใหญ่อาศัยจากการกลั่นน้ำทะเลซึ่งใช้พลังงานสูงและมีต้นทุนแพง แม้ซาอุฯจะมีฝนในบางภูมิภาคแต่น้ำฝนมักจะไหลผ่านพื้นที่แห้งแล้งหรือทะเลทราย และระเหยไปอย่างรวดเร็วซาอุฯจึงต้องสร้างเขื่อนเก็บน้ำเพื่อความมั่นคงทางน้ำลดภาระระบบกลั่นน้ำ รับมือกับภัยแล้งได้ดีขึ้น ฟื้นฟูระบบนิเวศ พื้นดินและแหล่งน้ำใต้ดินสำหรับการใช้งานภาคเกษตรและชุมชนท้องถิ่น ก่อนหน้านี้ ซาอุฯได้สร้างเขื่อนไว้แล้วกว่า 552 แห่งทั้งบนผิวและใต้ดิน ความจุรวมกว่า 2.65 พันล้านลูกบาศก์เมตร30 กรกฎาคม 2025 นายอับดุลเราะห์มาน อัล-ฟัดลี รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และเกษตรของซาอุฯ แถลงข่าวที่กรุงริยาดว่า ซาอุฯเตรียมสร้างเขื่อนเก็บน้ำฝนจำนวน 1,000 แห่ง (2025-2030) ซึ่งจะทำให้มีกำลังการเก็บน้ำรวมกันประมาณ 4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีเขื่อนที่กำลังจะสร้างเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ภายใต้กรอบนโยบายวิสัยทัศน์ 2030 และโครงการริเริ่มซาอุดีอาระเบียสีเขียว (Saudi Green Initiative) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางน้ำ การฟื้นฟูระบบนิเวศ และเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตอาหารของประเทศ หากไม่มีการเตรียมล่วงหน้า ซาอุฯอาจจะขาดแคลนน้ำขั้นวิกฤติหลายคนหัวเราะจนฟันกระเด็นออกมานอกปาก เมื่อผมเล่าให้ฟังว่าซาอุฯเป็นประเทศหนึ่งที่ทำการเกษตรได้ดี แม้ซาอุฯ จะมีเนื้อที่เพาะปลูกเพียงร้อยละ 1 ของประเทศ แต่ภาคเกษตรของซาอุฯกลับมีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอินทผลัม ไข่ไก่ นม ผัก และผลไม้ต่างๆ ไม่เพียงแต่ผลิตเพื่อบริโภคในประเทศเท่านั้น แต่ซาอุฯยังส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรของตนไปขายต่างประเทศด้วยค.ศ.2020 แม้จะมีสัดส่วนเศรษฐกิจเพียงร้อยละ 3 ของจีดีพี แต่ภาคเกษตรซาอุฯใช้น้ำมากถึงร้อยละ 67 ของน้ำจืดทั้งหมด (8.5 พันล้านลูกบาศก์เมตร) แหล่งน้ำที่นำมาใช้คือน้ำบาดาล (ร้อยละ 80 ของแหล่งน้ำทั้งหมด) น้ำกลั่นจากทะเล น้ำรีไซเคิล และน้ำผิวดิน การขยายแหล่งทรัพยากรน้ำจึงต้องทำอย่างเร่งด่วนซาอุฯมีศักยภาพด้านการลงทุน เทคโนโลยี และเจตจำนงทางการเมืองที่แข็งแรง จึงสามารถเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว ซาอุฯระดมสรรพกำลังแก้ไขปัญหาประเทศที่สำคัญคือทรัพยากรน้ำ+ยุทธศาสตร์ระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพหากซาอุฯเดินหน้าตามแผนอย่างต่อเนื่อง อาจเปลี่ยนจากประเทศทะเลทรายที่ขาดน้ำ ให้กลายเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทรัพยากรน้ำของโลกในอนาคต.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม