แม้ว่าเกาะบาหลีของอินโดนีเซียยังคง สถานะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ผสมผสานเสน่ห์ดึงดูดของมรดกทางวัฒนธรรม ชายหาดงดงามอันเงียบสงบ รีสอร์ตหรู และการบริการระดับเวิลด์คลาส ทว่าทางการแดนอิเหนาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หรือใช้ประโยชน์จากธรรมชาติไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะพัฒนาแต่กำลังมองหาช่องทางต่อยอดผลักดัน เกาะบาหลี รวมทั้ง เมืองลาบวนบาโจ บนเกาะฟลอเรส ในจังหวัดนูซาเต็งการาตะวันออกของ อินโดนีเซีย ให้เป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์” หวังลดจำนวน ประชาชนที่เดินทางไปรักษาพยาบาลในต่างแดน หลังพบว่า ในแต่ละปีมีชาวอินโดนีเซีย 1-2 ล้านคน เดินทางไปรักษาพยาบาลในต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นมาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และสหรัฐฯ ทำให้ประเทศสูญเสียเม็ดเงิน 163 ล้านล้านรูเปียห์ (หรือราว 324,953 ล้านบาท) ต่อปี คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เมื่อ ปีที่แล้ว ขณะที่ยังประเมินว่าภาคการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของอินโดนีเซียมีศักยภาพในการสร้างรายได้สูงถึง 1.36 ล้านล้านรูเปียห์ต่อปี หรือราว 2,712 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นและจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น เชื่อมั่นว่าน่าจะมีส่วนสำคัญผลักดันจีดีพีโตได้ประมาณ 6%จึงเป็นที่มาของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์คุณภาพสูงภายในประเทศ โดย เฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมารับการรักษาในประเทศ ได้รักษาทั้งอาการป่วยกายในบรรยากาศสุดรื่นรมย์ สามารถพักผ่อนหย่อนใจตามชายหาด พร้อมกับเพลิดเพลินกับศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อให้สำเร็จตามเป้า รัฐบาลอินโดนีเซียได้พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ 2 แห่ง มุ่งเน้น การท่องเที่ยวและการดูแลสุขภาพ ได้แก่ เขตเศรษฐกิจพิเศษซานูร์ ในบาหลี ถูกวางให้เป็น ศูนย์รวมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์แบบครบวงจรแห่งแรกของประเทศและแน่นอนว่า ใหญ่สุดในเอเชีย จะมีทั้งโรงพยาบาล คลินิกเฉพาะทาง ศูนย์วิจัยทางการแพทย์ โรงแรม และศูนย์การประชุม ขณะที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษบาตัม ในหมู่เกาะเรียว จะมีโรงพยาบาล สถาบันพยาบาล ห้องประชุม ที่พัก โรงแรม ร้านค้า บ้านพักตากอากาศ บังกะโล และบ้านพักผู้สูงอายุแต่อุปสรรคใหญ่ที่ต้องฝ่าฟันก็คือ “บุคลากรทางการแพทย์” รองรับความทะเยอทะยานนี้ ซึ่งอินโดนีเซียมีจำนวนแพทย์ต่อหัวประชากรต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จึงเป็นความท้าทายที่น่าติดตาม.อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม