แม้สถานการณ์ที่ “ช่องบก” จังหวัดอุบลราชธานีจะคลี่คลายลงด้วยการให้แต่ละฝ่ายถอนกำลังถอยหลังไปอยู่ในจุดที่เหมาะสม 200 เมตร แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เชื่อว่าย่อมมีอารมณ์ค้างเนื่องจากประวัติที่ผ่านมา ไม่ค่อยสวยหรูเท่าใดนัก ไม่รวมถึงคำประกาศของอดีตผู้นำที่ทำให้คิดตามได้ว่า ยังคงมีการเตรียมพร้อมไว้สำหรับกรณีเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย “สนับสนุนการเคลื่อนกำลังและอาวุธหนัก”จนกลายเป็นคำถามว่า หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นอีก รูปการณ์จะออกมาเป็นเช่นไร และการปะทะจะยกระดับหรือไม่ เนื่องด้วยทิศทางการรบในสงครามสมัยใหม่ได้มีความซับซ้อนมากขึ้นช่วงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ความมั่นคงในประเทศต่างๆ ได้พยายามถอดบทเรียนจากสงครามยูเครน-รัสเซียอย่างเข้มข้น หลังจากสถานการณ์ได้พิสูจน์ในเห็นว่า จำเป็นต้องเขียนตำรารบกันใหม่ และการรบระหว่างประเทศมิใช่แค่ยกกำลังโถมเข้าตีช่วงชิงพื้นที่ยึดครองแต่เป็นขีดความสามารถในการจัดการ “แนวหลัง” ของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะศึกดวล “ลูกยาว” ซึ่งหมายถึงการค้นหาและทำลายศูนย์บัญชาการ ระบบสื่อสาร ระบบตรวจจับ ระบบต่อต้านอากาศยาน ไปจนถึงการไล่ล่า “ราชาแห่งสนามรบ” ปืนใหญ่หลากหลายขนาดสาเหตุที่รัสเซียไม่สามารถปิดเกมได้อย่างรวดเร็ว ย้อนแย้งกับความเชื่อที่ว่าโหยเสร็จแน่ๆ ถือเป็นผลพวงของระบบหลังบ้านที่ยูเครนได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มเปี่ยมจากสหรัฐฯและชาติตะวันตก การเทกำลังยานเกราะและรถถังถือเป็นกลยุทธ์ยุคสงครามเย็น ที่กลายเป็นหมันฝูงม้าเหล็กกลับตกเป็นเหยื่อของอาวุธลูกยาวที่ยิงกระหน่ำเป็นห่าฝนและแม่นยำถึงขั้นที่รัสเซียต้องมีการปรับยุทธศาสตร์เปลี่ยนจากการบุกมาเป็นการตั้งรับขึงแนวเพื่อฟื้นฟูเป็นเวลานับปี ด้านหน่วยรบของยูเครนยังยอมรับกับสื่อต่างประเทศเป็นระยะๆว่า หลายครั้งที่ชาติตะวันตกบอกให้เรายิงไปตรงจุดนู้นจุดนี้ โดยที่เรายังไม่ทราบเลยว่ามีอะไร แต่พอผ่านไปค่อยรับรู้ว่า จุดที่ถูกชี้เป้ามีทั้งศูนย์บัญชาการ จุดรวมพล หรือยุทโธปกรณ์ที่มีความสำคัญด้วยเหตุนี้ สภาพการรบจึงปรับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วงปีก่อน การชี้ขาดในสนามรบจะเกิดขึ้นจากแนวหลังเป็นลำดับแรก ปืนใหญ่ รถปืนใหญ่อัตตาจร หรือรถยิงจรวด จะมีการยิงและย้ายตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ถูกอีกฝ่ายยิงสวนจนพินาศส่วนเครื่องบินรบจะมีหน้าที่ SEAD-กดหัวระบบต่อต้านอากาศยานของฝ่ายข้าศึก ด้วยวิธีตรวจจับสัญญาณเรดาร์เพื่อระบุตำแหน่ง ที่ตั้งและยิงทำลาย ทั้งหมดนี้จะประสานงานควบคู่ไปกับ “หน่วยโดรนพิฆาต” เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีออปชันให้เลือกใช้ว่าจะใช้อะไรจัดการกับเป้าหมาย จะเป็นปืนใหญ่ หรือเครื่องบิน หรือโดรนและสุดท้ายเมื่อการชี้ขาดหลังแนวรบบรรลุผล ค่อยเป็นหน้าที่ของทหารราบในการเก็บกวาด ใช้หน่วยขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวสูงเข้าผลักดันให้ฝ่ายตรงข้ามถอยร่นไปจากพื้นที่เป้าหมายในขณะที่สมรภูมิยุโรปตะวันออกเป็นการเผชิญหน้าระหว่างอาวุธค่ายรัสเซียกับอาวุธค่ายสหรัฐฯและยุโรป แต่สำหรับภูมิภาคเอเชียนั้น ย่อมเป็นการเผชิญหน้าด้วยอาวุธลูกผสมประเทศต่างๆมีการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ จากหลายที่มา อย่างกองทัพไทยเองก็มีทั้งจากสหรัฐฯ เยอรมนี ฝรั่งเศส สวีเดน อิสราเอลหรือกระทั่งยูเครนและรัสเซีย อินโดนีเซียมีฝูงบินจากค่ายรัสเซีย ผสมกับฝูงบินจากค่ายฝรั่งเศสราฟาลที่อยู่ระหว่างจัดหามาเพิ่มเติม ข้ามไปฟากเมียนมาก็เป็นลูกผสมคล้ายคลึงกับไทยแต่สำหรับกัมพูชาบ้านใกล้เรือนเคียงถือว่ามีความพิเศษ เพราะถึงแม้จะใช้อาวุธมรดก ตกทอดจากสหภาพโซเวียตในช่วงยุคสงครามเย็นเป็นส่วนใหญ่ แต่ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีความร่วมมือกับกองทัพจีนอย่างเข้มข้น ซื้ออาวุธค่ายจีนไปมากกว่า 290 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 9,860 ล้านบาท ไม่รวมถึงการกู้ปลอดดอกเบี้ยดังนั้น หากยึดสนามรบยุคใหม่เป็นมาตรฐานแล้ว อาวุธสำคัญของกองทัพกัมพูชา ที่เข้าหลักเกณฑ์ ย่อมรวมถึงปืนใหญ่อัตตาจรสำหรับยิงแล้วย้ายตำแหน่งรุ่นพีซีแอล-09 จากบริษัทโนรินโค ขนาด 122 มม. ที่เชื่อว่ามีกว่า 30 ระบบ รถยิงจรวดรุ่นใหม่พีเอชแอล-03 ขนาดจรวด 300 มม. แบบ 12 ท่อยิง ที่มีระยะยิงเกิน 70 กิโลเมตรหรือรถยิงจรวดขนาดรองลงมาอย่างพีเอชแอล-81 ที่มีลักษณะคล้ายกับบีเอ็ม-21 รุ่นโบราณ ไปจนถึงจรวดต่อต้านอากาศรุ่นเคเอส-1 (จีนเรียกเอชคิว-12) แบบ 2 ท่อยิง พิสัยทำการสูงสุด 50 กิโลเมตร ที่เชื่อว่า มีอย่างน้อย 4 ระบบ อาวุธเหล่านี้สามารถมีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในภาพรวมแล้วศักยภาพยังถือว่าไม่เต็มที่ เนื่องจากยังไม่เป็นสามมิติ ขาดการสนับสนุนทางอากาศที่เหมาะสม ยังใช้เครื่องมิก-21 รุ่นอัปเกรด และเครื่องฝึกซ้อมแอล-39 ไม่รวมถึงข้อสงสัยที่ว่า “คลังกระสุน” ที่หล่อเลี้ยงอาวุธเหล่านี้มีเพียงพอหรือไม่ ยิงไปแล้วมีอะไรมาเติมไหมแน่นอนว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่หากมองสถาน การณ์โลกในยุคนี้ที่หลายคนเชื่อว่า “ไม่มีใครเขารบกันแล้ว” ย่อมบังเกิดความกังวลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง พร้อมได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายผ่านการเจรจาและประนี ประนอมด้วยเจตนารมณ์ที่ดี แต่หากไม่สำเร็จผลลัพธ์คงลงเอยตามที่ได้รับใช้อธิบายไปก็เท่านั้นเอง.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม