ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่คือประธานาธิบดีคนที่ 30 (คาลวิน คูลิดจ์ 1923-1929) คนที่ 31 (เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ 1929-1933) คนที่ 32 (แฟรงคลิน ดี.รูสเวลต์ 1933-1945 ตายขณะดำรงตำแหน่ง)ตามความคิดส่วนตัวของผม ความรุ่งเรืองของสหรัฐฯเกิดขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหยุดที่ประธานาธิบดีคนที่ 44 บารัค โอบามา (2009–2017) หลังจากนั้นสหรัฐฯก็เข้าสู่ความวุ่นวายในยุคประธานาธิบดีคนที่ 45 โดนัลด์ ทรัมป์ (2017–2021) ตามด้วยคนที่ 46 โจ ไบเดน (2021–2025) และปัจจุบัน ยุคของทรัมป์อีกครั้งหนึ่งเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ.1929 อาจจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เปิดฟ้าส่องโลกขอเล่าสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำใหญ่ครั้งแรกให้ฟังครับ ค.ศ.1929-1932 เกษตรกรอเมริกันต้องทำลายผลผลิตทิ้ง เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยนั้นตั้งกำแพงภาษีสูงจนถูกตอบโต้จากประเทศอื่น ทำให้ราคาผลผลิตตกลงถึงร้อยละ 50เกษตรกรต้องปล่อยให้แอปเปิ้ลและฝ้ายเน่าและแห้งคาต้น เพราะเงินที่ขายได้ไม่พอจ่ายค่าจ้างคนเก็บ นอกจากนั้น ยังเกิดพายุฝุ่นทำให้หน้าดินถูกปกคลุมด้วยฝุ่นจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ พายุฝุ่นที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 1935 เพียงครั้งเดียว ทำให้ข้าวสาลีบริเวณเทกซัสแพนแฮนเดิลเสียหายเป็นมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเกษตรกร 4 แสนรายที่จำนองที่ดินไว้กับธนาคาร ไม่มีเงินเพียงพอที่จะไปไถ่ถอนก็กลายเป็นคนเร่ร่อน คนอเมริกันรังเกียจเกษตรกรที่มาเป็นคนงานเร่ร่อน และเรียกอย่างรังเกียจว่าเป็นพวกโอกีส์ เพราะส่วนใหญ่มาจากรัฐโอกลาโฮมา ที่ประสบวิบากกรรมจากเศรษฐกิจตกต่ำมากที่สุดเกษตรกรอเมริกันที่สูญเสียที่ดินอุ้มลูกจูงหลานขึ้นรถไฟหรือขับรถยนต์เก่าๆ พร้อมสมบัติติดกายไม่กี่ชิ้น ไปหางานทำในภาคตะวันตก จุดหมายปลายทางส่วนใหญ่อยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นรัฐที่ยังสมบูรณ์และยังพอมีงานทำจอห์น สไตน์เบก อดีตผู้เดินทางจากโอกลาโฮมามาหางานทำที่แคลิฟอร์เนีย ภายหลังได้เขียนนิยายเรื่อง The Grapes of Wrath ถ่ายทอดบรรยากาศ วิถีชีวิต การเดินทาง ความขมขื่นและสิ้นหวังของพวกเกษตรกรที่ถูกธนาคารยึดที่ดิน ความเอาเปรียบของนายทุน การต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดจากเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้นักประวัติศาสตร์ชื่ออลัน บริงก์ลีย์ ยกย่องว่านวนิยาย The Grapes of Wrath เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดสังคมอเมริกันช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ออกมาเป็นตัวอักษรได้อย่างชัดเจนประธานาธิบดีฮูเวอร์ ยังละเมอเพ้อพกว่าเศรษฐกิจยังดี แกยังเชื่อว่ามั่งคั่งร่ำรวยของสหรัฐฯยังอยู่แค่เอื้อม จึงไม่มีนโยบายบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน แกคิดว่าการที่รัฐลงไปช่วยเหลือเกษตรกรจะทำให้เกษตรกรอเมริกันสูญเสียความเคารพตนเองรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯสมัยนั้นคือนายแอนดรูว์ เมลลอน ก็มีความเชื่อว่าการที่เศรษฐกิจตกต่ำเป็นไปตามวัฏจักร รัฐต้องไม่เข้าไปช่วยเหลือแทรกแซง ทั้งประธานาธิบดีและรัฐมนตรีคิดตรงกันว่า เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำถึงที่สุดแล้วก็จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาใหม่เอง ฮูเวอร์และผู้คนในรัฐบาลจึงมองข้ามเกษตรกร และนำเงินภาษีที่เก็บได้ไปช่วยภาคธุรกิจเพื่อฟื้นฟูกิจการและขยายกำลังในการผลิตหลังจากได้เงินช่วยจากรัฐบาลแล้ว นักธุรกิจก็ไม่กล้าผลิต เพราะไม่รู้จะเอาไปขายที่ไหน ฮูเวอร์เองก็ขอร้องให้นักธุรกิจตรึงราคาสินค้า โดยเสนอว่าจะลดภาษีและดอกเบี้ยให้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ให้พวกลูกจ้างขึ้นค่าแรงคนจนชาวอเมริกันสมัยนั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ก็ต้องหาอาหารชั้นเลว จำนวนไม่น้อยต้องไปเข้าแถวรอรับอาหารจากองค์กรการกุศล บางครอบครัวต้องไปคุ้ยกองขยะเพื่อหาเศษอาหารมากิน คนส่วนใหญ่อยู่กันตามเพิงแถวที่ทิ้งขยะและสวนสาธารณะ ที่ซุกหัวนอนก็ทำจากวัสดุที่หาได้ตามมีตามเกิด มีชุมชนแออัดเกิดขึ้นมากมาย คนอเมริกันเรียกชื่อชุมชนเหล่านี้ตามชื่อประธานาธิบดีว่าฮูเวอร์วิลล์ประธานาธิบดีฮูเวอร์ยังออกมาพูดให้กำลังใจประชาชนอยู่เสมอว่า ‘ความมั่งคั่งอยู่แค่เอื้อม ขอให้อดทน’.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม