มีการวิจัยเผยว่าเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน แมมมอธกลุ่มสุดท้ายของโลกตายลงบนเกาะแรงเกล ในมหาสมุทรอาร์กติกซึ่งเป็นเกาะโดดเดี่ยวนอกชายฝั่งดินแดนไซบีเรีย แต่อะไรทำให้ประชากรแมมมอธกลุ่มสุดท้ายบนเกาะแรงเกลต้องสิ้นพันธุ์ไป เมื่อเร็วๆนี้ ทีมวิจัยนำโดยนักพันธุศาสตร์วิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัยอุปซอลา ในสวีเดน เผยการวิเคราะห์จีโนมหรือข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดของแมมมอธบนเกาะแรงเกล และแมมมอธบนแผ่นดินใหญ่ไซบีเรีย เพื่อคลี่คลายปริศนาว่าแมมมอธกลุ่มสุดท้ายของโลกหายไปได้อย่างไร ทีมวิจัยได้วิเคราะห์จีโนมของซากแมมมอธจำนวน 14 ตัวที่ได้จากเกาะแรงเกล และแมมมอธอีก 7 ตัวจากแผ่นดินใหญ่ไซบีเรีย ที่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษของแมมมอธบนเกาะ โดยมีอายุย้อนไปถึง 50,000 ปีก่อน ข้อมูลจีโนมบ่งชี้ว่าประชากรแมมมอธที่แยกมาอยู่บนเกาะแรงเกลมีต้นกำเนิดจากแมมมอธไม่เกิน 8 ตัว จากนั้นก็เติบโตเป็นแมมมอธ 200-300 ตัวภายในเวลาประมาณ 20 รุ่น หรือประมาณ 600 ปี และยังคงอยู่จนกระทั่งสูญพันธุ์อย่างกะทันหัน ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีที่ว่าจีโนมของแมมมอธล่มสลายไป เนื่องจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่เป็นอันตราย นั่นก็คือเกิดจากการผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกัน ซึ่งการวิเคราะห์จีโนมของแมมมอธที่แยกตัวออกไปอยู่บนเกาะ ยืนยันว่าแม้ว่ากลุ่มประชากรแมมมอธทั่วไปจะมีความหลากหลายทางพันธุกรรมต่ำ แต่แมมมอธไม่กี่ร้อยตัวก็ครอบครองเกาะแรงเกลมาได้นานหลายพันปี ก่อนที่จะหายไปอย่างฉับพลัน นักวิจัยเผยว่า แมมมอธขนยาวเคยเร่ร่อนไปทั่วบริเวณกว้างใหญ่ในยุคน้ำแข็งของยุโรป เอเชีย และตอนเหนือของอเมริกาเหนือ แต่หลังจากสภาพอากาศโลกเริ่มอุ่นขึ้นเมื่อราว 12,000 ปีก่อน และมนุษย์ล่าพวกมันมากขึ้น แมมมอธก็ล่าถอยไปทางเหนือ และสูญพันธุ์บนแผ่นดินใหญ่เมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน ส่วนระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นก็ทำให้ประชากรแมมมอธบนเกาะแรงเกลลดลง แต่ก็อยู่รอดมาได้อีก 6,000 ปี.อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่