กลายเป็นความชัดเจนมากขึ้นว่า ความได้เปรียบของรัสเซียในสมรภูมิยูเครน ไม่ได้มาจากปัจจัยการขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพยูเครนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของกองทัพรัสเซีย ในการทิ้งระเบิดจากเวหา โจมตีแนวป้องกันบนภาคพื้นดินในช่วงปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ความมั่นคง มองว่า กองทัพรัสเซียมีความได้เปรียบสูงเรื่อง ปืนใหญ่ทั้งจำนวนกระบอกปืนและกระสุน ในอัตรา 15 ต่อ 1 แต่สิ่งที่ยังทำให้ครองสนามรบไม่ได้อย่างเบ็ดเสร็จ มาจากการที่รัสเซียยังไม่สามารถยึดครอง “น่านฟ้า” ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของการทำศึกนับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2โดยงานนี้ยูเครนต้องขอบคุณชาติตะวันตกที่ทยอยส่งระบบจรวดต่อต้านอากาศขั้นสูงไปให้อย่างเต็มอัตราศึก ไม่ว่าจะเป็นของฝรั่งเศส เยอรมนี หรือสหรัฐฯ ที่ทำให้ฝูงบินรบรัสเซียต้องพะวงหน้าพะวงหลัง เวลาที่บินเข้าใกล้แนวรบ หรือข้ามโนแมนส์แลนด์เข้าไปถล่มเป้าหมายในแนวหลังอย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้กำลังจะหมดไป หลังจากทีมเทคนิคของรัสเซียทำการดัดแปลงระเบิดรุ่นเก่าที่ไม่มีระบบนำวิถี ให้กลายเป็นระเบิดร่อน กล่าวคือจากระเบิดที่ควรจะหย่อนลงพื้นวิธีโค้ง ได้กลายเป็นระเบิดบินได้ เนื่องจากทันทีที่ระเบิดถูกหย่อนจากเครื่องบินรบ แท่งเหล็กที่ติดอยู่ใต้ระเบิดก็จะกางปีกพับออกมา ร่อนเข้าสู่เป้าหมายในลักษณะคล้ายๆกับจรวด “ครูซ มิสไซล์” ที่ยิงจากเรือรบที่สำคัญเครื่องบินรบรัสเซียสามารถหย่อนระเบิดราคาถูกเหล่านี้ ในระยะห่างจากเป้าหมายสูงสุด 80 กิโลเมตร ซึ่งอยู่นอกเหนือระยะทำการของระบบต่อต้านอากาศส่วนใหญ่ของยูเครน ยกเว้นแต่ยูเครนจะขนระบบป้องกันชั้นสูงอย่างแพทริออตของสหรัฐฯมายังแนวหน้า ซึ่งก็เสี่ยงต่อการถูกตรวจจับและทำลายด้วยโดรนหรือปืนใหญ่ ส่วนระเบิดที่ถูกดัดแปลงติดปีกไม่ใช่ระเบิดรุ่นใหม่ แต่เป็นระเบิดรุ่นเก่ายุคสงครามเย็นที่รัสเซียตุนไว้ในคลังเป็นจำนวนมหาศาล ทั้งขนาดหัวรบ 300 กิโลกรัมไปจนถึง 1,500 กิโลกรัมการจะต่อต้านกลยุทธ์ใหม่นี้ให้มีประสิทธิภาพ ยูเครนจำเป็นต้องมีเครื่องบินขับไล่ เข้าสกัดฝูงบินรัสเซียก่อนที่จะปล่อยระเบิด แต่อนิจจาการส่งมอบเครื่องบินเอฟ-16 ก็ยังไม่มีวี่แววจะเกิดขึ้นจริง.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม