ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันที่ยิ่งทวีความรุนแรง กอปรกับแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การขยับขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ๆ รวมถึง “ตลาดโลก” เป็นกลยุทธ์ช่วยขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” ก็เป็นเรี่ยวแรงสำคัญช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น ส่งผลให้รัฐบาลแต่ละประเทศมุ่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างเต็มสูบเช่นเดียวกับอินโดนีเซีย ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงของเราที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในอาเซียน และอันดับ 16 ของโลก พร้อมเปิดกว้างรับการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จเกินเป้าในปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าการลงทุนจากต่างแดนสูงถึง 744 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 1.69 ล้านล้านบาทมาถึงปีนี้ “สถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย” รับนโยบายผลักดันการลงทุนในประเทศ โดยคราวนี้จับมือทางการ “จังหวัดชวาตะวันออก” ทางตะวันออกของเกาะชวา อีกหนึ่ง “ตลาดศักยภาพสูง” เป็นเจ้าภาพร่วมนำกลุ่มนักธุรกิจไทยหลากรูปแบบธุรกิจ เช่น ภาคพลังงาน การผลิต การท่องเที่ยว การส่งออก ไปจนถึงการศึกษา รวมทั้งสื่อมวลชน เหินฟ้าสู่ “เมืองสุราบายา” เมืองเอกและศูนย์กลางเศรษฐกิจของจังหวัดชวาตะวันออกเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อร่วมสำรวจดินแดนใหม่และถกโอกาสทางการค้าและการลงทุน ในการประชุมทางธุรกิจ “Thailand-East Java-Trade, Tourism and investment Familirization Trip 2024” ณ โรงแรมดับเบิลทรี บาย ฮิลตัน โฮเท็ล เมืองสุราบายาทั้งนี้ เมืองสุราบายามีดีกรีเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดนีเซีย รองจากกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของประเทศ มีความหมายว่า ปลาฉลาม (สุรา) และจระเข้ (บายา) ในภาษาชวา ตามตำนานโบราณของท้องถิ่นที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่าสัตว์ทั้ง 2 ชนิดได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด เมืองนี้ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น “City of heroes” หรือ “เมืองแห่งวีรชน คนกล้า” จากเหตุการณ์สำคัญของการต่อสู้และประกาศเอกราช จึงถือเป็นส่วนผสมกลมกล่อมลงตัวระหว่างประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าและธรรมชาติอันน่าพิศวง ด้าน “สำนักงานการลงทุนและการออกใบอนุญาตของจังหวัดชวาตะวันออก” หน่วยงานสำคัญที่มุ่งส่งเสริมและช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักธุรกิจต่างชาติในการลงทุน เปิดเผยว่าจังหวัดชวาตะวันออกเป็นประตูสู่ภาคตะวันออกของอินโดนีเซีย ถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพ ครอบคลุมประชากรรวมกว่า 160 ล้านคน นอกจากนี้ในปี 2566 ที่ผ่านมาจังหวัดชวาตะวันออกยังมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 4.95% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนในจังหวัดชวาตะวันออกมีแนวโน้มสดใสเพิ่มขึ้น 31.5%ส่วนธุรกิจที่ได้รับความนิยมมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสูงสุด ได้แก่ ธุรกิจเหมืองแร่ ตามมาด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมโลหะขั้นมูลฐาน สินค้าโลหะ อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เครื่องจักรและอุปกรณ์ เป็นอันดับ 2 ต่อด้วยอุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์ยานยนต์ ขนส่งอื่นๆ อุตสาหกรรมเคมีและยา รวมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร โดยนักธุรกิจจากสิงคโปร์เป็นชาติที่ลงทุนในจังหวัดชวาตะวันออกสูงสุด ตามมาด้วย เนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น ขณะที่การลงทุนจากนักธุรกิจไทยอยู่ในลำดับที่ 22 ด้วยมูลค่ารวม 66.07 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว 2,340 ล้านบาท)สำนักงานการลงทุนและการออกใบอนุญาตของจังหวัดชวาตะวันออกยังให้ความมั่นใจนักลงทุนชาวไทยด้วยว่า ทางจังหวัดมีมาตรการและสิทธิพิเศษเป็นแรงจูงใจการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางภาษีทั้งในรูปแบบยกเว้นหรือลดหย่อน หรืออัตราภาษีพิเศษ ไปจนถึงสิทธิประโยชน์จากการนำเข้า รวมทั้งยังเสนออัตราภาษีพิเศษซุปเปอร์ ดีดักชัน สำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาชีวศึกษา การวิจัยและกิจกรรมการพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในงานนี้ นายประพันธ์ ดิษยทัต เอกอัครราช ทูต ณ กรุงจาการ์ตา ยังเดินทางมาร่วมพูดคุยให้ความเชื่อมั่นนักธุรกิจชาวไทย โดยได้เน้นย้ำว่าอินโดนีเซียและไทยเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิด มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 1 และ 2 ในอาเซียนตามลำดับ และในปีที่ผ่านมาทั้ง 2 ประเทศยังมีมูลค่าการค้ารวม 18,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 637,560 ล้านบาท คนอินโดนีเซียมีความชื่นชอบเมืองไทยและสินค้าไทยอยู่แล้ว รวมถึงสินค้าธุรกิจสร้างสรรค์อย่างภาพยนตร์และ ดนตรี นอกจากนี้ ปีที่แล้วยังมีชาวอินโด นีเซียเดินทางมาเยือนเมืองไทยราว 745,000 คน ท่านยังหวังให้มีความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศให้มากยิ่งขึ้นท่านทูตยังให้ไอเดียด้วยว่า ภาคส่วนธุรกิจ 3 ประเภท ที่มีแนวโน้มสดใสในจังหวัดชวาตะวันออก ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงานสีเขียว รวมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร และการท่องเที่ยว ยังแนะว่าแม้จะมีช่องทางโอกาสทางธุรกิจสูง มีจุดแข็งที่ขนาดของตลาดที่ใหญ่ แต่แน่นอนว่ายังมีความท้าทายที่ต้องฝ่าฟันอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง จึงแนะให้นักลงทุนชาวไทยลองมองหาพันธมิตร หรือพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นที่เชี่ยวชาญด้านกฎเกณฑ์ และยังรู้ความต้องการของตลาด และผู้บริโภคในท้องถิ่นเป็นอย่างดีท่านทูตยังทิ้งท้ายด้วยการยินดีกับการเลือกตั้งทั่วไปในอินโดนีเซียเมื่อเดือน ก.พ. ที่ประสบความสำเร็จเรียบร้อยด้วยดี เชื่อมั่นว่าจะมีการหารือกระชับสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะการผลักดันสินค้าฮาลาลของไทยให้ได้รับการยอมรับให้มากขึ้น และการผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพในภูมิภาค ที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการโรงพยาบาลในไทยบวกกับกระตุ้นให้มี สายการบินตรงจากกรุงเทพฯสู่เมืองสุราบายา อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบทั้งวัน.อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ "7 วันรอบโลก" เพิ่มเติม