พืชที่มนุษย์เพาะปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดคือ ‘ธัญพืช’ มีข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่ว ฯลฯ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร เนื้อ นม เนย ไข่ กลายเป็นของแพงและหายาก ผู้คนจึงต้องกินข้าวโอ๊ตและข้าวบาร์เลย์แทน ผลก็คือ หลังจากนั้น ชาวยุโรปเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งน้อยมากเป็นประวัติการณ์ จึงมีการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับข้าวและธัญพืช พบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันความเสื่อมและการถูกทำลายของเซลล์ทั่วร่างกายความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินทำให้อูเครนส่งออกธัญพืชเป็นอันดับต้นของโลก โดยเอาลงเรือที่ท่าเรือในทะเลดำ หลังจากเกิดสงครามรัสเซีย-อูเครน รัสเซียก็คุมทะเลดำอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก็ยังยอมมี Grain Deal หรือข้อตกลงที่เปิดทางให้อูเครนส่งธัญพืชไปยังนานาประเทศโดยผ่านทางทะเลดำได้ ข้อตกลง Grain Deal หมดอายุไปแล้วมากมายหลายครั้ง รัสเซียก็เมตตาต่ออายุให้ทุกครั้ง ข้อตกลงฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะหมดอายุวันที่ 18 พฤษภาคม 2023สหรัฐฯและพวกพยายามกดดันรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ แต่เดิมก็ห้ามประเทศต่างๆ ค้าขายกับรัสเซียเฉพาะสินค้าบางรายการ การประชุมรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของกลุ่ม G7 ที่ญี่ปุ่นระหว่าง 16-18 เมษายน 2023 บรรดาประเทศเหล่านี้ปรึกษาหารือกันว่าจะต้องคว่ำบาตรสินค้ารัสเซียทุกรายการ ห้ามรัสเซียส่งออกสินค้าทุกรายการ ยกเว้นบางรายการที่กลุ่ม G7 จะเมตตาให้รัสเซียส่งออกได้เท่านั้นสหรัฐฯและพวกพยายามยั่วรัสเซียให้ตบะแตก เหมือนกับขีดเส้นให้รัสเซียเดิน ทั้งที่รู้ว่ารัสเซียถือไพ่หลายใบไว้ในมือ การจะคว่ำบาตรสินค้ารัสเซียเข้มขึ้นนี่ จะทำให้รัสเซียไม่สามารถส่งออกข้าวสาลีหรือธัญพืชประเภทอื่นๆ ไปเลี้ยงดูผู้คนในยุโรปและในอีกหลายประเทศทั่วโลก เดิมรัสเซียมีข้าวสาลีไม่พอกิน แต่หลังจากมีภาวะโลกร้อน แผ่นดินไซบีเรียทั้ง 12 ล้านตารางกิโลเมตรของรัสเซียอุ่นขึ้น ดินอุ่นขึ้นจนสามารถทำเกษตรได้ ทำให้รัสเซียกลายเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกข้าวสาลีเป็นอันดับ 1 ของโลกนอกจากรัสเซียแล้ว โลกก็พึ่งธัญพืชจากอูเครน หากพวก G7 มีมาตรการห้ามค้าขายกับรัสเซียเพิ่มขึ้น รัสเซียก็อาจจะยกเลิกข้อตกลง Grain Deal เรื่องนี้จะทำให้หลายประเทศกลายเป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้า ที่แย่ที่สุดก็คือพวกสหภาพยุโรป ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามาตรการที่ตัวเองก่อขึ้นจะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับประชาชนคนบริโภคที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่ได้เกี่ยวดองหนองยุ่งกับการรบพุ่งในสงครามรัสเซีย-อูเครน แต่ก็ยังทำค.ศ.1998 รัสเซียได้รับเชิญให้เป็นสมาชิกของกลุ่ม G7 แต่หลังจากการผนวกดินแดนไครเมียเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียเมื่อ ค.ศ.2014 สหรัฐฯและพวกก็กดดันให้สมาชิกภาพของรัสเซียจบลง กระทั่ง ค.ศ.2020 ประธานาธิบดีทรัมป์เชิญรัสเซียกลับเข้ามา โดยมีนายกรัฐมนตรีอิตาลีให้การสนับสนุน ทว่าสมาชิกอื่นปฏิเสธ แสดงอาการรังเกียจรังงอนรัสเซียกันเหลือเกิน รัสเซียเคยประกาศเมื่อ ค.ศ.2017 ว่าจะไม่กลับไปร่วมสังฆกรรมกับกลุ่ม G7 อีกเป็นการถาวร ถึงแม้ภายหลัง ทรัมป์พูดเรื่องจะเชิญรัสเซียกลับเข้ามา แต่รัสเซียก็ไม่สนใจกลุ่ม G7 ตั้งเมื่อ ค.ศ.1973 ในชื่อ Library Group พอถึง ค.ศ.1975 ก็ตั้งชื่อว่ากลุ่ม G6 ต่อมาเป็นกลุ่ม G7 เมื่อมีสมาชิก 7 ประเทศคือ สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น เมื่อมีรัสเซียเข้าไปด้วยก็กลายเป็น G8 แล้วตอนนี้ก็ถอยมาเป็น G7 เหมือนเดิม การรวมกลุ่มของประเทศเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็นการรวมกลุ่มของพวกมาเฟียที่เป็นเศรษฐีมีสตางค์ รวมกลุ่มกันลงโทษทางเศรษฐกิจกับประเทศที่ตัวเองไม่ชอบหรือประเทศที่ขัดผลประโยชน์พวกตนประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจพวกนี้รู้ดีว่า การกดดันรัสเซียครั้งใหม่นี้จะทำให้ธัญพืชขาดแคลนและมีราคาแพงขึ้น แต่ก็ยังทำ การกระทำของ G7 จะทำให้คนอดยากขาดแคลนอาหาร เศรษฐีมีสตางค์ยังสามารถใช้เงินซื้ออาหารในราคาแพงได้ แต่คนจนล่ะครับ จะหาอาหารธัญพืชที่ไหนมาใส่กระเพาะG7 อำมหิตเหลือเกิน.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com