หลายปีที่ผ่านมากรุงลอนดอนไร้เสียงดังก้องกังวานบอกเวลาเที่ยงตรงจาก “บิ๊กเบน” หลังจากต้องปิดเพื่อซ่อมแซมครั้งใหญ่มาตั้งแต่เดือน ส.ค.2560 ทำให้ผู้คนจำนวนมากอดใจหายกับเสียงที่คุ้นเคยไม่ได้ วันนี้ระฆังยักษ์สัญลักษณ์สำคัญของอังกฤษกลับมาส่งเสียงส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของชาวลอนดอนอีกครั้ง ด้วยค่าใช้จ่ายก้อนมหาศาล 80 ล้านปอนด์ หรือราว 3,396 ล้านบาท“บิ๊กเบน” เป็นชื่อเล่นที่เรียกขาน “มหาระฆัง” น้ำหนัก 13.7 ตัน แห่ง “หอนาฬิกา” ประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “หอคอยเอลิซาเบธ” เพื่อฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง เมื่อปี 2555 ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการรัฐสภาอังกฤษ โดยตัวนาฬิกาได้รับการออกแบบโดยเอ็ดมันด์ เบคเก็ตต์ เดนิสัน ที่ชนะการแข่งขันออกแบบในปี 2389 ขณะที่เชื่อกันว่าชื่อบิ๊กเบนน่าจะมาจากเซอร์เบนจามิน ฮอลล์ ผู้ควบคุมการติดตั้งระฆังยักษ์ในเวลานั้น กระทั่งเริ่มตีบอกเวลาครั้งแรกเมื่อ 11 ก.ค.2402หลังถูกบดบังความงามด้วยนั่งร้านตลอดการซ่อมแซม 5 ปี ในที่สุดหอนาฬิกาเก่าแก่อายุ 163 ปี ก็กลับมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่งเสียงโน้ตอี จากบิ๊กเบน และโน้ตจี ชาร์ป, เอฟ ชาร์ป, อี และบี จากระฆังเล็ก 4 ใบ ในวันที่ 13 พ.ย. วัน Remembrance Sunday หรือวันอาทิตย์แห่งการรำลึกถึงทหารผ่านศึก โดยลั่นระฆัง 11 ครั้ง ในเวลา 11.00 น. ให้สัญญาณยืนสงบนิ่งไว้อาลัย 2 นาที หลังทดสอบตลอดสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.รวมทั้งยังลั่นระฆัง 11 ครั้งในเวลา 11.00 น. ของวันรำลึกทหารผ่านศึก 11 พ.ย.มาก่อนตลอดการปิดซ่อมที่ผ่านมา “บิ๊กเบน” ยังบอกเวลาในวาระสำคัญ อย่างวันสิ้นปี การออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (เบร็กซิท) รวมถึงการลั่นระฆังทุก 1 นาที รวม 96 ครั้งเท่าจำนวนพระชนมายุ 96 พรรษา ในพระราชพิธีพระบรมศพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา รัฐสภาอังกฤษคาดการณ์ว่า บิ๊กเบน และเอลิซาเบธทาวเวอร์ จะพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชุดแรกได้ภายในปี 2566 ก็อีกไม่นานเกินรอ.อมรดา พงศ์อุทัย