อิหร่านลั่นสางแค้นเมกา ถ้าใครหนุนจะลุกเป็นไฟผู้นำกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ประกาศกร้าว ระหว่างงานศพ พล.อ.กัสเซม โซไลมานี ทุกสถานที่ ที่สหรัฐฯสนับสนุนจะต้องลุกเป็นไฟ สภาอิหร่านเรียกประชุมวางแผนล้างแค้นสหรัฐฯ 13 ประการ เพิ่มเงินให้หน่วยรบต่างแดนอีกกว่า 6.7 พันล้านบาท ยืนยันอเมริกันชนต้องตกอยู่ในฝันร้าย ขณะที่บรรยากาศงานศพผู้วายชนม์ คลื่นฝูงชนเหยียบกันตายหลายสิบศพ ด้าน รมว.ต่างประเทศของไทยมาแปลก บอกสหรัฐฯแจ้งล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุ 1 วัน แต่คล้อยหลัง 5 ชม. โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาแก้ต่าง “เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ยืนยันไม่มีการแจ้งให้ทราบก่อนแต่อย่างใด”สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์เหตุเขย่าโลก กรณีประธานาธิบดีสหรัฐฯเปิดปฏิบัติการสังหาร พล.อ.กัสเซม โซไลมานี ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ สังกัดกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก จากนั้นไม่นานรัฐบาลอิหร่านประกาศจะล้างแค้นอย่างสาสม ท่ามกลางความหวั่นวิตกของคนทั้งโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 7 ม.ค. พล.อ.ฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ประกาศกร้าวระหว่างพิธีศพที่เมืองเคอร์มาน บ้านเกิดของ พล.อ.โซไลมานีในอิหร่าน ว่าทุกสถานที่ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ จะต้องลุกเป็นไฟขณะที่สภาผู้แทนราษฎรอิหร่าน ลงมติผ่านร่างกฎหมายฉบับแก้ไข รับรองว่ากองทัพสหรัฐฯทั้งหมด เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเพนตากอนสหรัฐฯ และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงสายข่าว ผู้บัญชาการและบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหารจะถือเป็นกลุ่มก่อการร้าย จากที่ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน เม.ย.62 สภาอิหร่านได้รับรองให้สหรัฐฯเป็นประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งเลขาธิการสภาความมั่นคงสูงสุดอิหร่านอธิบายว่าเป็นมาตรการตอบโต้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ตีตราว่ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านเป็นกลุ่มก่อการร้าย นอกจากนี้ เลขาธิการสภาความมั่นคงสูงสุดอิหร่าน ยังเปิดเผยด้วยว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุลอบสังหารเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ทางสภาฯได้พิจารณาหาข้อสรุปอย่างเป็นเอกฉันท์ในเรื่องแผนการล้างแค้นสหรัฐฯ 13 ประการ เป็นเพียงแผนการล้างแค้นที่เบาสุด จะทำให้ชาวอเมริกันตกอยู่ในฝันร้าย พร้อมลงมติเพิ่มงบประมาณให้แก่หน่วยรบพิเศษในต่างแดน อีก 200 ล้านยูโร หรือ 6,746 ล้านบาทด้านนายฮัสซาน รูฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน กล่าวตอบโต้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กรณีประกาศว่าจะโจมตีเป้าหมายทางวัฒนธรรมของอิหร่าน 52 จุดว่า อย่าข่มขู่ประเทศอิหร่าน หากจะพูดถึงตัวเลข ก็ขอให้จำเลข 290 และไออาร์ 655 หมายถึงเหตุการณ์เรือรบสหรัฐฯ ยิงเครื่องบินพาณิชย์ของอิหร่านเที่ยวบินไออาร์ 655 เมื่อปี 31 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 290 คนส่วนปฏิกิริยาเพิ่มเติมจากนานาชาติ ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวโจมตีรัฐบาลสหรัฐฯในเรื่องนี้ว่าทำไม่ถูกต้องในด้านจริยธรรม ถึงเวลาแล้วที่โลกมุสลิมควรร่วมมือกัน เพราะเวลานี้ไม่มีใครปลอดภัย มันเป็นเรื่องถูกต้องหรือที่ประเทศๆหนึ่งจะใช้โดรนจัดการคนที่ตัวเองไม่ชอบ “สักวันหนึ่งผมอาจจะโดนด้วยก็เป็นได้”ขณะที่ทูตพิเศษอิรักประจำสหประชาชาติ เรียกร้องคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลสหรัฐฯ และออกมาตรการที่จำเป็นไม่ให้กฎหมู่เหนือกฎหมาย ป้องกันไม่ให้อิรักถูกดึงเข้าไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างประเทศ ด้านรัฐบาลรัสเซียและจีนขัดขวางยูเอ็นเอสซี ประณามเหตุโจมตีสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดด เพราะมองว่าไม่ช่วยอะไรต่อปัญหาที่สหรัฐฯสังหารผู้บัญชาการระดับสูงของอิหร่านเย็นวันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุสลดระหว่างพิธีศพ พล.อ.โซไลมานี ที่เมืองเคอร์มาน ทางภาคกลางของอิหร่าน เป็นบ้านเกิดของผู้วายชนม์ หลังฝูงชนหลายพันคนที่เดินทางมาร่วมไว้อาลัย เบียดเสียดเหยียบกันตาย มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 ศพ และบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 213 คน ทั้งนี้ตัวเลขผู้เคราะห์ร้ายอาจเพิ่มขึ้นอีกด้าน นายมาร์ค เอสเปอร์ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ปฏิเสธรายงานข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า กองทัพสหรัฐฯส่งจดหมายแจ้งต่อทางการอิรัก ขอเคลื่อนย้ายกำลังในอิรัก ระบุว่าไม่รู้เรื่องจดหมายและอาจเป็นการใช้ข้อความในจดหมายไม่เหมาะสม ย้ำว่ากองทัพสหรัฐฯจะไม่ถอนกำลัง ทหารออกจากอิรักเป็นอันขาด ส่วนรัฐบาลเยอรมนีประกาศถอนทหาร 30 นาย จากทั้งหมด 120 นาย ออกจากอิรัก ด้วยสถานการณ์อยู่ในสภาพน่าวิตกจากเหตุความตึงเครียดครั้งนี้ กลุ่มสิทธิมนุษยชนอเมริกัน-อิสลามหรือซีเอไออาร์ในสหรัฐฯ ระบุว่าส่งผลให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราชาวอิหร่านที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ บางรายถูกกักตัวกว่า 10 ชม. ให้เหตุผลเพียงว่าเดินทางมาสหรัฐฯผิดเวลา ขณะที่นายโมฮัมหมัด จาวัด ซาริฟ รมว.ต่างประเทศอิหร่านถูกทางการสหรัฐฯปฏิเสธออกวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ทั้งที่ต้องเข้าร่วมประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์กที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องติดตามสถานการณ์คือให้เหล่าทัพและกระทรวงการต่างประเทศประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ส่งผลกระทบถึงประเทศไทยอย่างไรบ้าง ต้องให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยโดยเฉพาะสถานทูตของประเทศที่เกี่ยวข้อง ด้านกระทรวงพลังงานให้เตรียมการเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณีที่นายปณิธาน วัฒนายากร ประธานกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ออกมาระบุอยากให้รัฐบาลส่งสัญญาณให้ประเทศอาเซียนส่งสัญญาณให้สหรัฐอเมริกา ประนีประนอมหรือพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ม.ค. สหรัฐฯประสานมายังไทยเมื่อวันที่ 2 ม.ค. ว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้องทำอย่างนั้นและได้ติดต่อกับประเทศอาเซียนอยู่แล้ว แจ้งล่วงหน้าก่อน 1 วัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ขณะนี้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและไม่อยากให้สถานการณ์บานปลาย เพื่อให้ความสงบสุขและสันติภาพไม่ถูกรบกวน ขณะนี้แจ้งเตือนคนไทยในอิหร่านที่มีประมาณ 300 คนไปแล้ว ส่วนกรณีประธานาธิบดีสหรัฐฯเชิญผู้นำอาเซียนเยือนสหรัฐฯเพื่อหารือสมัยพิเศษในช่วงไตรมาสแรกของปี 63 เป็นคำเชิญก่อนเกิดสถานการณ์ หลายประเทศตอบรับไป ส่วนไทยในหลักการตกลงแล้ว เบื้องต้นอาจเป็นเดือน มี.ค.ยังไม่ทราบเวลาที่แน่นอนขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน กล่าวถึงมาตรการด้านพลังงาน เพื่อป้องกันผลกระทบจากความขัดแย้งครั้งนี้ว่า ในเชิงราคาน้ำมันยังไม่อยู่ในเกณฑ์ต้องดำเนินการใดๆ แต่มีแผนเตรียมที่จะใช้มาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอยู่เกือบ 4 หมื่นล้านบาท การสต๊อกน้ำมันที่ปัจจุบันสามารถใช้ได้ 50 วัน และแก๊สยังมี เพียงพอต่อการใช้ ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานเตรียมการล่วงหน้ามาหลายเดือน เนื่องจากทราบถึงความเปราะบางของสถานการณ์ จึงลดสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากตะวันออกกลางที่ต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซและเปลี่ยนไปสู่พื้นที่อื่นที่ไม่มีปัญหา รวมทั้งได้มีการเตรียมการผลิตน้ำมันดิบในประเทศให้มากขึ้น ขอให้ประชาชนไม่ต้องตื่น ตระหนก ยืนยันมีมาตรการรองรับ เตรียมประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้งในวันที่ 10 ม.ค.มีรายงานว่าหลังการแถลงข่าวของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ที่ทำเนียบรัฐบาล ผ่านไปประมาณ 5 ชม. กระทั่งเวลา 18.30 น. น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวกรณีมีข่าวว่าสหรัฐฯได้แจ้งให้ไทยทราบก่อนที่จะมีการปฏิบัติการในอิรักว่า “เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ยืนยันไม่มีการแจ้งให้ทราบก่อนแต่อย่างใด”