เรียกว่าเป็นปีทองของนักแสดงหนุ่มดาวรุ่ง “มอสหลง–ภาณุวัฒน์ โสประดิษฐ” จากเด็กหนุ่มน้อยเริ่มต้นก้าวเข้ามาวงการบันเทิงด้วยการเล่นซีรีส์จนเป็นที่รู้จัก ได้พิสูจน์ฝีมือกับการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก กับภาพยนตร์สยองขวัญเขย่าประสาทเรื่อง “ตาโขน” ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่บริษัท สตาร์ ฮันเตอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ร่วมผลิตกับ iQIYI (อ้ายฉีอี้) ซึ่งถือเป็นบทบาทท้าทายที่สุดในชีวิต ได้รับกระแสตอบรับดีถึงการแสดงอันดำดิ่งเข้าถึงบท “จ่อย” และล่าสุดกับภารกิจสุดภูมิใจที่ มอสหลง ได้ร่วมแสดงในพิธีเปิดแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (SEA Games 2025) ในฐานะ “Friends of SEA Games” ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าเกินความฝันกับการแสดงชุดไฮไลต์สำคัญ “BLOOMING OF ONE VICTORY: มิตรภาพคือชัยชนะ” ร่วมกับ “แบมแบม-กันต์พิมุกต์” ศิลปินไทยระดับโลก เลยชวน “มอสหลง” พูดคุยถึงก้าวที่เติบโตอีกขั้นในปีนี้ เริ่มจาก หนัง “ตาโขน” หนังเรื่องแรกของ “มอสหลง” ที่หลายคนชื่นชมในความทุ่มเท?“ตื่นเต้นมากครับ ด้วยความที่เรามาในสายของซีรีส์ แต่จริงๆแล้วการแสดงมันต่างกัน อย่างละครก็ต่างจากภาพยนตร์เหมือนกัน ตอนนั้นมันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องเตรียมตัวเยอะเป็นพิเศษ เราก็ตั้งใจ ไม่อยากให้ทุกอย่างมันผิดพลาด อยากจะให้ทุกคนแบบทำงานง่าย ตัวละครของผมชื่อว่าจ่อย ผมเป็นคน อ.ด่านซ้าย จ.เลย แล้วก็เป็นคนที่เล่นผีตาโขนจริงๆ เราเห็น สัมผัส แล้วก็เข้าใจตัวละคร ณ ตรงนั้น ผมเคยอยู่จุดนั้นมาก่อน” อะไรยากที่สุดในหนังเรื่องนี้? “ทุกอย่างเลย ผมมีความใกล้ตัวละครก็จริงแต่ว่าคาแรกเตอร์หรือความ ต้องการของตัวละครมันไม่เหมือนกัน ผมเป็นคนที่มีความสุขตลอด ยิ้มตลอด ไม่เคยตะโกน ไม่เคยด่า ไม่ใช่เราเลย คือแต่ตัวละครตัวนี้ขี้แพ้มาก ไม่มีความสุข กลายเป็นว่าเราไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น อันนี้แหละมันคือการบ้านที่ผมกลับมาทำหนักมาก ตัวละครนี้มันชีวิตโคตรดิ่ง ต้องสื่อถึงความแตกสลาย เลยต้องทำทุกอย่างเพื่อหามันให้เจอ ผมให้ตัวละครนี้มาอยู่กับเรา เวลาพักเบรกในกองก็จะไม่ค่อยคุยกับใครเลย บางคนงงว่าอยากเข้าถึงตัวละคร ทำไมต้องซีเรียสเครียดขนาดนั้น จริงๆเราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้เครียดนะ แต่เราก็รู้สึกว่าพอเค้ามาอยู่กับเรา เราก็ไม่อยากปล่อยเค้าไป เหมือนตัวละครมันพาเราไปให้เห็นสิ่งที่เค้าต้องการ เรื่องนี้ไปถ่ายทำที่บ้านผมใช่มั้ย แล้วแม่ผมก็ไปอยู่ด้วยนะ แต่ผมแทบจะไม่คุยกับแม่เลย ผมแทบจะไม่คุยกับใคร เพราะนี่คือจ่อย นี่ไม่ใช่มอส เราก็ทุ่มสุดตัว ข้อดีของผมก็คือมีคนรอบข้างที่ดี ที่เข้าใจมากๆ คือพอคิวสุดท้ายคัตปุ๊บ กลับมาร้องไห้เลย ปล่อยมันกลับไปเลย รู้สึกว่าโล่ง เสร็จแล้ว” ได้อะไรกลับมาบ้างจากการได้เล่นเรื่องนี้?“ได้สกิลการแสดงแทบจะทุกอย่าง แบบที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีสิ่งนี้อยู่ด้วยซ้ำ เช่น การเป็นตัวละครอื่นโดยที่เราพักตัวเองไว้ มองตัวละครนี้เล่น บางตัวละครเราอาจจะเล่นเป็นตัวเราเองแล้วใส่ความเป็นตัวละครเข้าไป แต่ตัวละครนี้มันคือตัวละครที่เราถอดตัวเองมาเลย แล้วก็อย่างพี่เดียร์น่า ฟลีโป ที่เข้าฉากด้วยกันบ่อย ก็ได้เรียนรู้จากเค้า เค้าจะมีความคมในการแสดง ด้วยความที่เค้ามีประสบการณ์เค้ามีความลื่นไหลและมีความเป็นมืออาชีพทางการแสดง มุมกล้องอะไรแทบไม่ต้องบอก ซึ่งบางอย่างเราก็ไม่รู้ เราก็มีเวิร์กช็อปและลองทำกันหลายๆแบบ” กับนางเอกคนดัง เดียร์น่า ฟลีโป ก่อนรู้จักกันและหลังจากได้มาร่วมงานเป็นยังไงบ้าง? “จริงๆผมไม่รู้จักพี่เดียร์น่ามาก่อน เคยเห็นเค้าอยู่ไกลๆ เค้าเป็นคนสวย ดูอยู่สูง ด้วยความที่เราทำงานคนละสาย สายงานไม่ชนกันเลย พอได้เจอเค้า เค้าน่ารักมาก ทำให้เรารู้จักว่าเค้าเปิดใจ เป็นคนจริงใจมาก เป็นคนลุยมากๆ พร้อมไปกับเรา บอกว่ามอสทำได้เลยนะ เดี๋ยวพี่ทำตาม ไม่ต้องกลัว พี่อยู่ข้างหลังคอยซัพพอร์ต เวลาเข้าฉากพร้อมกับเค้า ผมจะรู้สึกเบา ทั้งที่ตัวละครหนัก” จากวันที่เป็นเด็กน้อยก้าวเข้ามาวันแรก จนมาถึงวันนี้ ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะแค่ไหน?“เปลี่ยนไปเยอะมาก แก่แดด (หัวเราะ) แก่วิชามากขึ้น พี่ๆทุกคนก็พยายามสอน พยายามเค้นผลักดันเพราะเราก็เป็นน้องเล็กตอนนั้น มาตอนแรกๆไม่รู้เรื่องอะไรเลย พี่ๆจากสตาร์ ฮันเตอร์ ก็คอยสอนคอยซัพพอร์ตเราว่าต้องทำให้ได้นะ อย่างแบงค์เค้าก็เก่งมากอยู่แล้ว ในวันที่เราเข้ามา เราก็ต้องพุชตัวเอง ด้วยความที่วันแรกเราไม่มีอะไรเลย การมองเห็นการเติบโตมันเลยเห็นได้ชัดเจนขึ้น เทียบกับปัจจุบันมันเลยมองเห็นได้ว่ากราฟมันสูงขึ้น แล้วเราก็ทำงานทุกวัน มันก็ช่วยพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ผมอาจจะยังไม่เก่งมาก แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองพัฒนามาจากวันแรกเยอะมาก ทั้งการแสดง การพูดคุย เข้าสังคมต่างๆ เมื่อก่อนพูดไม่เก่งเลย ผมเป็นคนขี้อายมาก ไม่กล้าสบตาใคร แล้วมันก็ค่อยๆดีขึ้น” ขี้อายขนาดไหน? “เลเวล 10 เลย เป็นคนขี้อายแต่เป็นคนเชื่อคนง่าย ถ้าเค้าบอกว่าดีแล้ว เราจะมั่นใจเลย ผมมองว่าการฉีดยาให้กำลังใจมันสำคัญกับเด็กที่เข้ามาใหม่ๆมากเลยนะ พอเรารู้สึกว่าดีแล้วเราก็อยากทำให้มันดีขึ้น” มีอะไรเป็นจุดเปลี่ยน? “อาจจะเป็นเพราะเราไปเจอโลกมาเยอะขึ้น ได้ออกไปทัวร์ ไปเจอผู้คนเยอะ เลยทำให้เราไม่ได้อยู่ในกรอบขนาดนั้นทั้งในเรื่องการแสดง และการใช้ชีวิต แต่ก่อนผมจะใส่แค่กางเกงยีนส์กับเสื้อสีดำ พอแล้ว ไม่กล้าใส่เสื้อสีอื่นกลัวคนจะมองยังไง ความคิดเราอยู่ในเซฟโซนมากๆ แต่พอปัจจุบัน เรามองว่าเราต้องสนุกกับการแต่งตัวในตอนนี้ เรามีช่วงวัยนี้ที่จะอายุ 22-23 แค่ครั้งเดียวนะ ผมคิดว่าการลองอะไรใหม่ๆอาจจะทำให้เราได้เจอสิ่งที่เราชอบได้มากขึ้นด้วย” หลายคนอยากรู้ว่าทำไมถึงชื่อมอสหลง?“มาจากซีรีส์ที่ทำให้ผมเป็นที่รู้จักเรื่องมังกรกินใหญ่ จะเรียกว่าคำว่ามอส มังกร มันคงไม่ได้ แล้วคำว่าหลงอะ แปลว่ามังกรในภาษาจีน ก็เลยเอาเป็นมอสหลง เพราะถ้าเราจะใช้ชื่อไหนแล้วมันต้องใช้ตลอดไป และมันไม่มีใครชื่อว่ามอสหลงแน่ๆ” อัปเดตผลงานต่อจากนี้หน่อย?“เพิ่งเปิดไลน์อัปปี 2026 iQIYI Original จะมีซีรีส์เรื่อง “IDENTITY ZERO” เป็นซีรีส์วายไซไฟ เล่นกับพี่แบงค์-มณฑป อยากเล่นมานานแล้ว ต้องรอดูครับ เนื้อเรื่องจะพูดถึงการตายแล้วเกิด 3 ภพ 3 ชาติ ตัวละครนี้ไม่ศรัทธากับความรัก ในอดีตมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับความรักของเค้า ทำให้เค้าเย็นชา ไม่สนใจกับอะไรทั้งสิ้น แต่เค้ายอมไปทำข้อตกลงกับระบบ Zero สิ่งที่ทำให้ผมชอบคือ ตัวละครนี้เป็นคนที่เสียสละมาก ผมอ่านบทแล้วผมร้องไห้เลยนะ ซึ่งเรื่องนี้เป็นนิยายที่ดังมากของจีน กำลังเวิร์กช็อป เดี๋ยวเริ่มถ่ายต้นปี 69” ปีหน้าคิวแน่น?“พร้อมกลับเข้ากองแล้วครับ พร้อมเข้าไปดิ่งดาวน์อีกครั้ง” แปลว่าเราพร้อมเข้าไปเป็นตัวละครเสมอ? “อย่างที่บอก ผมไม่ได้เป็นเด็กที่เรียนการแสดงมาโดยตรง เรียนด้านบรอดแคสต์มา ไม่ได้เตรียมตัวว่าตัวเองต้องมาอยู่ในวงการบันเทิงโดยตรง พอมาทำงานจริงๆมาเจอคนที่เลเวลสูง คนเก่งๆส่วนใหญ่มีของกันมาอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าเรายังไม่เก่งมาก เราก็ต้องพยายามให้มากขึ้น พยายามให้เต็มที่ แล้วก็กลัวคนที่ให้โอกาสเรามาเค้าจะเสียใจด้วย”“มอสหลง” ทุ่มเกินร้อยทุกงาน?“ผมมองว่าทุกโอกาสที่เข้ามา เราก็ไม่รู้ว่ามันจะมีอีกเมื่อไหร่ ก็เลยต้องทำให้ดีก่อน” แฟนคลับตื่นเต้นกับทุกผลงาน?“ตื่นเต้นครับ อย่างผลงานหนังก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเรา ส่วนซีรีส์เรื่องใหม่ เราอยู่ในวงการมาประมาณนึง มันก็มีทั้งกราฟขึ้นและกราฟลง พอวันนึงได้อยู่ในประกาศไลน์อัปของสิ่งที่เราอยากทำ และเป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่ของ iQIYI ด้วย ก็อยากตั้งใจให้เต็มที่” เรียกว่าได้เวลาความจิ้น “มอสแบงค์” รีเทิร์นแล้ว?“ใช่ครับ ก็จากซีรีส์มังกรกินใหญ่ เรียกว่ากลับมาในรอบ 4 ปี” แฟนๆยังเหนียวแน่น? “เหนียวแน่นมากครับ แฟนๆคู่เยอะมาก”ความเป็นมอสแบงค์เวลาไปทำผลงานอื่นล่ะ?“จริงๆแฟนคลับเข้าใจนะ โชคดีมากที่แฟนคลับเข้าใจว่าอันไหนคือการทำงาน หลักๆเลยคือผมกับแบงค์สนิทกันด้วย อยู่ด้วยกันตลอด เราก็ทำให้เห็นว่าเราไปทำงานที่อื่นแต่เราก็ยังมาอยู่ด้วยกัน คุยกัน ยังมีกันและกันเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้แฟนๆรู้สึกว่าเราสองคนหายไป หรือเปลี่ยนไป เรายังซัพพอร์ตกันตลอด เราอาจจะมีช่วงที่ไม่ได้โพสต์ลงโซเชียล เราอาจจะเปลี่ยนการทำงานไปบ้าง แต่ว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เราเปิดให้คนได้เห็นมุมอื่นๆที่เราอยากให้เห็น และเก็บปิดบางอย่างเพื่อการทำงานให้ทุกคนได้โฟกัสได้ถูกในเวลานั้น แต่ความสัมพันธ์เรายังเหมือนเดิมตลอด”.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่