อยู่ในวงการบันเทิงเกินครึ่งชีวิต สำหรับ คลาวเดีย จักรพันธุ์ ณ อยุธยา นักแสดงสาวเจ้าบทบาท ล่าสุด กลับมารับเล่นหนังอีกครั้งในรอบ 23 ปี กับบท “คุณหญิงโศกาภิวัฒน์” หรือ “แม่” ผู้คุมกฎเหล็กและบทลงโทษของบ้านสุดเหี้ยมโหด กับภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ “โศกาภิวัฒน์” ผลิตโดย เวลธ์ธัญญ์ เอ็มไพร์ งานนี้เลยคว้าสาวคลาวเดียมาพูดคุย การทำงานยังคงถือคติ “น้ำไม่เต็มแก้ว” พร้อมเรียนรู้ และเปิดใจถึงการฟ้องหย่าสามี ออง ทีฮา นักธุรกิจชาวเมียนมา หลังคบกันมานานถึง 17 ปี อยากจบปัญหาแยกย้ายกันไป ใน “คนดังนั่งคุย”กลับมารับเล่นหนังในรอบ 23 ปีเป็นยังไงบ้าง“ใช่ค่ะ เป็นการรับบทเด่นอีกครั้งหลังจากผู้หญิง 5 บาป ถ้านับจริงๆ ก็ 23 ปีพอดี รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก คลาวเดียเลยต่อสายตรงคุยกับแบงค์ (ณัฐชัย จิระอานนท์) ผู้กำกับฯเลย แล้วก็ดูรายชื่อทีมงานว่ามีใครบ้าง ยิ่งได้เห็นชื่อ พี่ห่าน (สิทธิพงษ์ กองทอง) ผู้กำกับฯ-ตากล้อง ระดับตำนานคนนี้ที่เราอยากร่วมงานด้วยนานมากแล้ว กับทีมงานตำแหน่งอื่นๆคือน่าสนใจหมดเลย ก็ตัดสินใจรับเลยค่ะ และพอรับแล้ว ก็คือทุกอย่างต้องสุดแบบ 1000% ไม่ได้คิดถึงแค่ตัวเอง แต่คิดถึงทุกอย่างที่ต้องทำร่วมกัน” เห็นว่าทำการบ้านกับเรื่องนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้ “ปกติคลาวเดียจะเป็นคนที่ทำการบ้านก่อน ขนาดไปแคสต์สืบสันดานแบบไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า ก็ยังไปทำการบ้านมาก่อนเลย แต่สำหรับโศกาภิวัฒน์ถึงแม้จะไม่ต้องแคสต์ แต่ว่ามันเป็นสไตล์การทำงานของเราอยู่แล้ว พอได้คุยกับผู้กำกับฯ ก็ได้พัฒนาต่อยอดกันเรื่อยๆในเรื่องของบท เหมือนกับว่าเราจะได้เข้าใจก่อนที่จะเวิร์กช็อป ผู้กำกับก็เข้าด้วย มีครูสอนแอ็กติ้ง ก็คือ พี่อ้อ (ปานใจ ศิริสุวรรณ) ที่ช่วยนักแสดงหาจุดเริ่มต้นของตัวเอง แบบไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นอะไร หรือทำอะไร แค่ไกด์ว่าหากเราอยู่สถานการณ์นี้ ให้คิดเองว่าจะเป็นยังไงการทำงานกับลูกๆทั้ง 8 คนล่ะ“น้องๆทุกคนเต็ม 100 หมดเลย ตอนแรกแค่ไปเวิร์กช็อปด้วยกันก็โอ้โห! เลย ว่าทำไมเด็กกลุ่มนี้ทำไมถึงตั้งใจกันขนาดนี้ ความรู้สึกเหมือนเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดซึ่งกันและกัน คลาวเดียว่ามันคือการสร้าง และมันต้องมีความเป็นทีมเวิร์ก อย่างผู้กำกับก็อาจจะเป็นเหมือนกัปตันเรือ แต่ทุกคนก็สำคัญเหมือนกันหมดเพราะทุกหน้าที่ทุกตำแหน่งคือคนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น สวัสดิการ ช่างเอฟเฟกต์ ฯลฯ ซึ่งก็แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า แม้เราจะอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่งานกลับออกมาดีขนาดนี้ การถ่ายทำมันก็ราบรื่นตลอดเพราะทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง แม้จะมีเวลาจำกัด แต่พอถึงหน้าเซตแล้วมันเหมือนมีพลังงานบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นตลอด ด้วยความที่ทุกคนเปิดกว้าง รีแอ็กชันของพวกเรามันก็เลยดีตามไปด้วย เหมือนเราหาตัวเองเจอบวกกับการทำการบ้านร่วมกันมาอย่างดี และมันทัชกัน พอเราไว้ใจกัน ทุกอย่างก็เหมือนถูกขับเคลื่อนด้วยหัวใจ ตอนถ่ายทำเลยไม่มีความคิดว่าเมื่อไหร่จะเสร็จสักที แต่กลับมีความรู้สึกว่าสนุกจังเลย”โศกาภิวัฒน์มีส่วนร่วมมากกว่าเรื่องอื่นๆ?“เยอะมากเลยค่ะ ตั้งแต่งานบท จนไปถึงงานตัดต่อ ปกติแล้วไม่มีใครเคยอนุญาตให้เราได้ลงลึกถึงงานโพสโปรดักชันเลย แต่เรื่องนี้คลาวเดียได้เข้าไปมีส่วนร่วมนิดหน่อย ได้เข้าไปดูและได้ความรู้กลับมา เรียกว่าได้ประสบการณ์เต็มๆเลย ทำให้เราเข้าใจถึงการทำงานเบื้องหลังที่อยากทำมานานแล้วมากๆ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสสักที คลาวเดียรู้สึกว่าโปรเจกต์นี้มีความน่าสนใจมาก และดีใจที่ได้เข้ามาอยู่ในโปรเจกต์นี้ ได้อะไรกลับมาเยอะมากอย่างไม่น่าเชื่อ” แปลว่าโศกาภิวัฒน์ให้ประสบการณ์เพิ่มและมากที่สุดแล้ว “จริงๆที่ผ่านมาคลาวเดียสะสมประสบ การณ์มาเรื่อยๆ แต่เรื่องนี้ได้เห็นงานในส่วนอื่นเพิ่มเติมด้วย ทั้งงานโพสฯ งานตัดต่อ และงานจัดจำหน่าย ที่เราเองไม่เคยทำมาก่อน ส่วนงานแสดงเวลาอยู่หน้าเซต คลาวเดียจะเป็นคนขี้สงสัยและคอยสังเกตคนอื่นรอบตัวอยู่แล้ว ว่าใครจะทำหน้าที่อะไร ชื่ออะไร สื่อสารกับคนอื่นยังไง พอเราอยู่กองถ่ายหลายวันก็จะรู้จักทุกคนและเก็บเกี่ยวมาเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ผู้คน ตอนที่ทำงานกับ NETFLIX ก็ได้เรียนรู้จากทีมมาร์เกตติ้ง ก็เป็นประสบ การณ์ที่น่าสนใจ ถ้าพูดถึงโศกาภิวัฒน์ จริงๆก็มีเรื่องของการเปรียบเทียบกับการเป็นครอบครัวที่เราเอาบางมุมมองมาปรับใช้ โดยเฉพาะเรื่องของความสัมพันธ์ที่เป็นมุมมองของแม่กับลูก อย่างการที่เรารักมากเกินไปลืมมองอะไรไปบางอย่าง ว่ามันเป็นความรักแบบผิดวิธีหรือเปล่า ซึ่งมันเอามาใช้ในชีวิตจริงได้”ต้องมาเล่นกับน้องๆมือใหม่ทั้งเรื่องแบบนี้คลาวเดียมองว่าเราเป็นเดอะแบกไหม“คิดว่าทุกคนช่วยกันแบกมากกว่าเพราะแต่ละคนก็ทำการบ้าน กันอย่างหนัก เราก็มาแลกเปลี่ยนกัน ตรงไหนที่น้องๆเล่นแล้วเรารู้สึกว่าน่าสนใจก็หยิบเอามาใช้เหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าเข้าวงการมาก่อนแล้วจะเก๋ากว่า เพราะทุกเรื่องสำหรับเราคือใหม่เหมือนกัน น้องๆหลายคนเพิ่งเคยเล่นหนังเรื่องแรก แต่คลาวเดียเห็นความตั้งใจของพวกเขาจากการเวิร์กช็อป ประทับใจมากว่านี่คือเรื่องแรกจริงเหรอ เห็นแล้วตกใจเลยว่าทำได้ยังไง เพราะไม่มีใครที่เข้ามาก่อนแล้วเก่งกว่าใครหรอกค่ะ ถ้าคิดว่าเราเก่งเมื่อไหร่ก็คือจบ จะพัฒนาต่อยังไง ดังนั้นถ้าเราหยุดพัฒนา ก็เหมือนปิดประตูตัวเองจบแล้วพอเลย คลาวเดีย คิดว่าเราแค่ตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ ให้ดีไปด้วยกัน ทุกฝ่ายไม่ใช่แค่นักแสดงอย่างเดียว คลาวเดียว่าเป็นโบนัสที่คนดูจะได้เห็น”เห็นว่าช่วงนี้ทำงานเบื้องหลังด้วย“จริงๆเป็นโปรเจกต์ที่อยากทำมาเป็นปีแล้วค่ะ แต่ไม่ได้ทำสักที แต่พอมาถึงจุดที่อายุ 45 จะ 46 แล้วไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ ถ้าไม่ทำสักทีจะรู้สึกเสียดายไหม ไม่ใช่ว่าจะเริ่มตอนไหนก็ได้ ต้องดูสุขภาพเราด้วย ต้องวางแผนชีวิต ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ ตอนนี้ก็เลยลุยเบื้องหลังไปด้วย แล้วก็เตรียมงานสำหรับถ่ายทำปีหน้าไปด้วย อย่างที่บอกต่อให้บทไม่เสร็จ แต่ก็เริ่มทำงานกันแล้วค่ะ ถ้าเป็นหนังก็อาจจะอีก 2-3 อาทิตย์ เพราะต้องเซตทีมขึ้นมา และต้องคิดว่าจะทำยังไงต่อ แต่คือถึงเวลาแล้วต้องทำแล้ว” ถ้าให้คำจำกัดความตัวเองในวัย 45 ย่าง 46 ปี กับการอยู่ในวงการมา 35 ปีเต็ม“ต้องทำ ต้องพัฒนา อย่าหยุด เพราะตั้งแต่เข้าวงการมา คลาวเดีย ทำทุกอย่างแบบ 1000% มาตลอดอยู่แล้ว แล้วเราจะไปทำเบื้องหลังด้วย ดังนั้นคลาวเดียยิ่งห้ามหยุดเลย ไม่หยุดจนลมหายใจสุดท้าย ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนา สิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่เพิ่มขึ้นมาตอนที่เราอายุมากขึ้นค่ะ”ก่อนหน้าคลาวเดียเกิดอาการวูบเกิดจากความเครียดและกินยานอนหลับหรือเปล่า“ใช่ๆจะบอกว่าช่วงหลังปีที่ผ่านมา เป็นปีที่หนักเลยคือปีที่แล้ว มันเครียดมากแล้วเราไม่ชอบเอเนอร์จีลบแล้วเก็บไว้คนเดียว มันค่อนข้างถาโถมจริงๆเราไม่กล้าบอกแม้กระทั่งคุณแม่เพื่อน เพราะเราไม่อยากให้เค้าเครียด เพราะฉะนั้นเราเก็บคนเดียวเพราะไม่มีใครรู้ว่าเรานอนร้องไห้อยู่ในหมอน น้ำตาไม่รู้กี่ล้านหยด นอนอยู่กับน้ำตา เปียกอยู่อย่างนั้น 365 วัน ตอนเดือน พ.ย. เริ่มคิดได้ทำไมเราต้องทุกข์กับมัน มันก็เป็นชีวิตเราต้องเริ่ม ไม่มีดับได้นอกจากตัวเราเอง ยังยาก เราถ่ายเรื่องนี้ด้วยมันก็ยากขนาดไหน เราจะไหวไหมเนี่ยมันยากด้วย พอไปถึงกองดันมีพลัง สปิริตมา แต่ละวันไปเวิร์กช็อปไม่มีใครรู้ แต่พอหลังปีใหม่ไป เราเริ่มสวดมนต์มากขึ้นก็ดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ เราผ่านทุกข์แล้ว รู้สึกมันแค่วันวันนึง ที่มันผ่านมาผ่านไป”เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตคู่ที่ผ่านมาของเรา“ก็ใช่ค่ะ เป็นเรื่องครอบครัวนี้แหละค่ะ กับสามี อยู่ด้วยกันมานานมาถึงตอนนี้ก็กำลังจะ 17 ปีแล้ว เวลาที่เราใช้ร่วมกันแต่คลาวเดียไม่ได้เสียดายอะไรนะ ไม่ได้โกรธใคร ถ้าเรามีความโกรธเราก็มีโทสะก็ไม่ดีกับตัวเราเอง คลาวเดียให้อภัย สวดมนต์ให้ทุกวัน และอโหสิกรรมให้ จริงๆคลาวเดียไม่ได้อยากให้เดินทางไปถึงขบวนการยุติธรรมเลย” เรายื่นเรื่องใช่เป็นการฟ้องหย่าไหม “ใช่ค่ะ” รอขั้นตอนไกล่เกลี่ย “จริงๆผ่านไปแล้ว 2 รอบ คลาวเดียเคยบอกต้องการอะไรนิดหน่อยเท่านั้น ไม่อยากให้กระทบใคร คลาวเดียแค่ต้องการความยุติธรรมสำหรับตัวเองและทั้งสองฝั่งด้วย เราต้องสู้ด้วยข้อเท็จจริง” อยากให้เรื่องนี้จบยังไง “อยากให้เรื่องมันจบเพราะไม่ได้โกรธอะไรกัน แค่แยกย้ายกันเท่านั้นเอง ทุกอย่างอยู่ในขบวนการค่ะ”.เรื่อง: วรรณี ห่อวโนทยานอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม