พิสูจน์ฝีมือการแสดงสุดท้าทาย นักแสดงหนุ่มหล่อเซอร์ “จี๋–สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร” พลิกคาแรกเตอร์ครั้งสำคัญรับบทหัวโจกเด็กช่างขาลุย ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “4 Kings2” ที่กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ โดย “เนรมิตรหนัง ฟิล์ม” ร่วมกับ “ฉายแสง แอด.เวนเจอร์” กำกับโดยพุฒ–พุฒิพงษ์ นาคทอง หลังประสบความสำเร็จอย่างสูงในภาคแรก กลับมาครั้งนี้โฟกัสเรื่องราวการปะทะกันระหว่างสองคู่อริต่างสถาบันระหว่างกนกและบุรณพนธ์ ดุเดือดเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม และสะท้อนความจริงของสังคม รวมทั้งมีคำตอบให้ทุกคำถาม ร่วมด้วยนักแสดงนำคับคั่ง อาทิ แหลม–สมพล, บิ๊ก D Gerrard, ทู–สิราษฎร์, ท็อป–ทศพล, เฟย–ภัทร, เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี และแม็กซ์–ณัฐวุฒิโดย “จี๋” รับบท “รก บุรณพนธ์” เล่าถึง การทำงานในเรื่องนี้ เริ่มจาก...“รก บุรณพนธ์ เป็นคนที่รักเพื่อนมาก ในภาคสองนี้ รกขึ้นเป็นประธานของบุรณพนธ์ภาคค่ำ เป็นตัวนำตัวเปิด ในเส้นเรื่องบุรณพนธ์ เป็นตัวแทนของเด็กช่างที่มาจากชนชั้นกลาง ภาคนี้จะพูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย มีเด็กอาชีวะที่เป็นตัวแทน ชั้นแรงงาน ชั้นล่าง ชั้นกลาง แต่ทุกๆคนก็มีปัญหาที่แตกต่างกัน เอาปัญหามาแก้ในวงสังคมที่เราอยู่ ผ่านการพิสูจน์ตัวเองและมีตัวตนเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อน ภาคนี้พูดถึงความแค้น และโอกาส ที่ว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสกลับตัว” กับการขึ้นเป็นประธานต้องมีความเป็นผู้นำแค่ไหน? “ก็ต้องใจถึงพึ่งได้ รกเป็นคนไม่คิด นั่งกินข้าวเจออีก ร.ร.มา ใส่เลย ใจร้อนบวกกับความมีแผลทางใจที่ต้องการจะเติมเต็ม ทำให้เค้าทำอะไรที่ไม่ทันคิดเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของกลุ่มเพื่อน ส่วนปัญหาของรกมันคือความโดดเดี่ยวในหัวใจที่ไม่ได้รับการเติมเต็มจากที่บ้าน พ่อแม่ไม่มีเวลา ไม่ได้ใส่ใจหรือให้ความรัก เลยต้องไปโหยหาการยอมรับ”บทบาทนี้มีตรงไหนใกล้และไกลตัวอย่างไรบ้าง? “ผมว่าทุกคนมีอารมณ์ที่หลากหลายสำหรับคาแรกเตอร์รก เราก็ดึงบางส่วนที่อาจจะอยู่ลึกหน่อยในก้นบึ้งความรู้สึกมาขยายให้ชัด มีการทำการบ้านเยอะมากๆ ทั้งเวิร์กช็อปเดี่ยวและกับทีมแสดง คุยกับพี่พุฒ ผู้กำกับ คุยกับพี่รกตัวจริง คุยกับพี่ๆเด็กช่างสมัยนั้นว่าพี่ๆเค้าใช้ชีวิตและมีวิธีคิดยังไง ส่วนการเตรียมตัว ผมก็เปลี่ยนตัวเองในทุกๆด้านเพื่อคาแรกเตอร์นี้ ทั้งลดน้ำหนัก 10 กว่า กก. เปลี่ยนมาไว้ผมยาว ไว้หนวด เปลี่ยนวิธีคิด ด้วยเส้นเรื่องมีความเครียด ตัวละครนี้แบกรับอะไรเยอะมาก แล้วพอเราลดน้ำหนัก 10 กก. เสถียรภาพทางอารมณ์มันบกพร่องไป ในวันที่เราจำกัดอาหารและต้องแบกรับตัวละคร ยิ่งเราเข้าใกล้ตัวละครเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่ามันหนักขึ้น แต่เราก็ยินดีเพราะเชื่อว่ามันเป็นกระบวนการที่ทำให้เราเข้าใกล้คาแรกเตอร์นี้มากที่สุด ไม่อยากใช้คำว่าเราใช้วิธี Method แต่มันก็ใกล้เคียงกับสิ่งนั้นเพราะในช่วงเวลาที่ถ่ายทำ ผมใช้ชีวิตแบบตัวละคร ผมเสพสิ่งรอบตัวต่างๆในแบบที่ผมคิดว่าตัวละครนี้จะทำ เช่น ฟังเพลงยุค 90 สไมล์บัฟฟาโล่ โมเดิร์นด็อก พราว มองโลกในแบบที่ตัวละครมอง พูด เคลื่อนไหว”คนรอบข้างรู้สึกถึงการเป็นรกของเราตอนนั้นมั้ย? “รู้สึกครับ มีคนทักเหมือนกัน นอกจากคนจะทักว่ามีความเก๋า มีความก้าวร้าวมากขึ้น ซึ่งคนรู้จักจะรู้ว่าผมเป็นคนติ๊งต๊อง นุ่มนิ่ม แต่ช่วงนั้นมันฝังเข้าไป ทำให้เวลาผมคุยกับคน ผมจะระวังเรื่องกาลเทศะมาก ไม่อยากให้เค้ารู้สึกแย่ แต่มันก็มีหลุดบ้างมันจะแข็งๆนิดนึง ทำให้ผมต้องสำรวมเป็นพิเศษ ซึ่งช่วงนั้นถ่ายอีกเรื่องด้วย ก็ต้องมีสมาธิและมีสติมากๆ”เคยบอกว่าตัวละครรก มีหลายเลเยอร์ทางอารมณ์มาก? “ตอนเสร็จโปรเจกต์ไปแล้ว ผมเพิ่งได้มาตกผลึก ผมรู้สึกว่ารกเป็นคนที่น่าสงสารมาก น่าสงสารที่สุดในเรื่องเลยด้วยซ้ำ เพราะผมว่าสิ่งที่ตัวละครต้องแบกรับ เป็นสิ่งที่โดดเดี่ยวที่สุดที่มนุษย์คนนึงต้องเผชิญในช่วงวัยนั้น สุดท้ายเราเป็นมนุษย์ที่ต้องการที่พึ่งทางใจบางอย่างที่มีผลต่อชีวิต แต่ตัวรกไม่มีใครเลยคำนิยามของมันคือสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ โดดเดี่ยวไม่เหลือทั้งเพื่อน และครอบครัว” เวลาเป็นรกมีความดิ่งความเหงาเข้ามาในตัวเรามั้ย? “บ่อยครับ บ่อยจนรู้สึกว่าต้องพัก แต่ขึ้นอยู่กับว่าระหว่างถ่ายทำอยู่กับใคร อยู่กับเพื่อนๆก็จะสนุก พอกลับบ้านผมก็พาตัวละครกลับบ้าน ผมมีสตินะแต่ส่องกระจกแล้วมองเห็นตัวละครไม่ได้เห็นตัวเอง สติครบถ้วน ควบคุมตัวเองได้อยู่ ซึ่งตลอดการถ่ายทำผมพยายามใช้ทุกๆนาทีค้นหาตัวละครและพยายามทำความรู้จักกับเค้าให้ได้มากที่สุด” อะไรคือสิ่งที่เราชอบในตัวรก? “ท่ามกลางความซับซ้อนในใจของรก สิ่งที่ผมชอบที่สุดคือความไม่ซับซ้อนของเค้า รักก็รัก พอมีเป้าหมายก็ทำมันอย่างชัดเจน”การร่วมงานกับทีมนักแสดงคนอื่นๆเป็นอย่างไร? “ผมรักและผูกพันกับทุกคนมาก ทั้งทีมนักแสดงและทีมงาน จริงๆผมแทบไม่รู้จักใครก่อนหน้านี้เลย รู้จักแค่พี่แหลม พี่เบน แต่พอมาได้ทำงานเรื่องนี้ก็ได้สนิทกับทุกคนมากขึ้น เหมือนเป็นคนพันธุ์เดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน เคมีใกล้เคียงกันเหมือนมาจากเผ่าเดียวกัน (ยิ้ม) ทุกคนเลยคุยกันรู้เรื่องและรักกัน ผมว่าความรักนี่ล่ะที่ทำให้เกิดความเชื่อใจในทีมนักแสดง ทำให้การทำงานมันพาให้เราได้สร้างสรรค์งานสิ่งนี้ และหลักๆคือทุกคนให้ความสำคัญกับหน้าที่ตัวเอง พอมารวมตัวกันเหมือนจิ๊กซอว์มาประกอบกันเลยเป็นภาพที่สวยงาม ผมได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่าในฐานะนักแสดง ได้แลกเปลี่ยนพลังงานกับพี่ๆนักแสดงแต่ละท่านที่สุดยอดมากๆและได้ทำงานกับทีมงานมืออาชีพ”ฉากใหญ่ๆเตรียมตัวยังไง? “มันจะมีซีนคอนเสิร์ตโมเดิร์นด็อก โรงเรียนสองโรงเรียนประชันหน้ากัน ประธานก็จะต้องเดินมาข้างหน้า จำได้ว่าคนในสตูฯ 400 กว่าคน มีคน 2 ฝั่งและคนดูคอนเสิร์ต แต่ในฐานะคนที่ยืนเป็นประธานเดินออกมาท่ามกลางคนเยอะๆ มันทำให้เรารู้สึกต้องแบกรับบางอย่าง ต้องตัวใหญ่มีความเป็นจ่าฝูง ทำให้คนดูเชื่อให้ได้ว่าคนนี้คือประธานคือจ่าฝูงของฝูงที่ดุขนาดนี้ มันกดดัน เดือดดาล ดุเดือด วันนั้นคือถ่ายซีนนั้นซีนเดียว”แง่คิดที่ได้จากการได้เล่นเรื่องนี้? “ไม่ว่าระหว่างทางมันจะเท่แค่ไหน ไม่ว่าระหว่างทางจะดูหอมหวล หรือชวนดึงดูดแค่ไหน แต่ปลายทางจบลงด้วยความสูญเสียไม่มากก็น้อยแน่นอน บางคนอาจจะโชคดีที่ก้าวข้ามเส้นไปแล้ว มีโอกาสได้กลับมา บางคนอาจจะโชคร้ายไม่ได้กลับมา เรื่องนี้จะตอบคำถามที่ทุกคนได้ถาม และเห็นในสิ่งที่ทุกคนอยากเห็น” ได้รับบทบาทที่หลากหลาย เสน่ห์อะไรของวงการบันเทิงที่ดึงดูดเราให้จี๋อยู่ตรงนี้? “ผมแค่ชอบที่ได้แสดง ผมชอบที่จะได้เข้าไปค้นหาโลกของตัวละคร อีกนัยนึงมันคือการทำความรู้จักมนุษย์ในอีกแบบเพราะตัวละครก็คือมนุษย์ บางทีผมได้เรียนรู้ตัวเองจากการค้นหาโลกของตัวละคร” อัปเดตผลงาน? “ปีหน้าจะมีภาพยนตร์ และภาพยนตร์เน็ตฟลิกซ์ ละคร ซีรีส์ อยากให้ติดตามเพราะใส่เกินร้อยทุกงาน”ให้เวลากับงานเยอะ เราบาลานซ์ชีวิตยังไง? “เอาจริงๆผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่อง Work Life Balance เท่าไหร่ มันอาจจะเป็นสมดุลที่ดีของใครบางคน แต่สำหรับผม ผมเชื่อในเรื่องการทุ่มเทในสิ่งที่เราให้ความสำคัญ ผมเชื่อเรื่องการทุ่มเทให้กับสิ่งที่เรารัก เมื่อเรารักอะไรเราอาจจะไม่ต้องบาลานซ์ให้สิ่งอื่นก็ได้ มันอยู่ที่เราจะวางตัวเองเป็นแบบไหนมากกว่า สำหรับผม ผมวางตัวเองเลือกทุ่มเทให้สิ่งที่ผมรักโดยไม่ได้คิดเรื่องความสมดุล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีสติที่จะประคองตัวเองให้ไปต่อและรับผิดชอบหน้าที่อื่นไปด้วย” เป็นคนทุ่มเกินร้อยทุกเรื่องมั้ย? “ผมจริงจังกับสิ่งที่ผมให้ความสำคัญ สำหรับความเป็นตัวเองผมจะสบายๆอะไรก็ได้ แต่พอเป็นเรื่องงานผมจะค่อนข้างจริงจัง”บทบาทตุลย์ในละคร “เกมรักทรยศ” ที่ผ่านมาทำให้สาวๆใจละลาย? “ก็รู้สึกถึงฟีดแบ็กชัดเจน มีคนเข้ามาบอกว่าดูอยู่นะชอบนะ อยากจะบอกว่าขอบคุณมากๆและขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่ให้กำลังใจ มันเป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆสำหรับผมเลย บางทีเราทุ่มสุดตัวแล้วมาเห็นว่าสิ่งที่เราทำได้มีความหมาย ได้สื่อสารอะไรบางอย่างกับใครสักคนมันเป็นกำลังใจให้เราทำต่อ ผมเองไม่ค่อยได้ดูคอมเมนต์ต่างๆเท่าไหร่เพราะเป็นคนคิดมาก เลยพยายามหลีกเลี่ยงการอ่าน ช่วงนั้นชีวิตก็เหมือนเดิมแต่มีคนมาทักทายเยอะขึ้น ซึ่งผมมีความสุขนะเพราะผมชอบคุยกับคน ชอบแลกเปลี่ยน เจอใครก็คุยได้หมด ผมแฮปปี้” กับคำว่าหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่หลายคนยกให้จี๋ล่ะ? “ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองมีเสน่ห์รึเปล่า ไม่เคยแน่ใจเรื่องนี้ (ยิ้ม)” เวลาไปเจอแฟนๆแล้วเค้าเขินเรา? “ผมก็เขิน อย่าว่าแต่เค้าเลย เค้าเข้ามาทักผม ผมก็เขิน แต่ผมต้องเก็บอาการเพราะต่างคนต่างเขิน เราก็จะไม่ได้คุยกัน ท่ามกลางความรู้สึกเขินของผม ผมมีความสุขและเอนจอยที่ได้คุยกับทุกคน มีความสุขที่อย่างน้อยผมได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆในช่วงเวลาสั้นๆ ผมรู้สึกว่าทุกคนต้องต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่างอยู่แล้วในชีวิต แล้วผมได้รับเกียรติให้เป็นรอยยิ้มเล็กๆของเค้าได้ ผมมีความสุขมากและยินดีที่จะทำ”กลับกันเจอคนแบบไหนที่เรารู้สึกว่าเค้ามีเสน่ห์? “คนที่ทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อ คนที่มีความเป็นตัวเอง กล้าที่จะเป็นตัวเองบนพื้นฐานของกาลเทศะ” ตัวจริงเป็นหนุ่มแบบไหน มุมเข้ม หรือมุมซอฟต์มากกว่า? “โหมดสบายๆคือสบายมาก ผมไม่ใช่คนตลก แพรวพราว แต่ผมเป็นคนอารมณ์ดี ส่วนซอฟต์ละมุนก็มีบ้างแล้วแต่วัน ถ้าอยู่คนเดียวก็จะนิ่งๆ แต่ถ้ามีคนมาทักทาย ผมอยากเป็นรอยยิ้มให้เค้า”ความเป็นคนในวงการบันเทิงต้องรับมือกับการเจอคอมเมนต์ดราม่าต่างๆ? “ผมว่าเป็นเรื่องปกติที่บุคคลสาธารณะจะได้รับความเห็นจากทุกๆคนในมิติต่างๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นสิ่งที่เราเลือกเองด้วยว่าเราจะพาตัวเองไปอยู่ตรงไหน เป็นเงื่อนไขที่เราต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ ก็เข้าใจทุกอย่าง ดังนั้น ในเมื่อเราแก้ไขที่วิธีคิดไม่ได้ ความคิดคนเป็นเรื่องปัจเจกมีทั้งบวกและลบ มันมีโควทของฝรั่งที่บอกว่า ชีวิตนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เราถูกปฏิบัติอย่างไร แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณโต้ตอบมันกลับไปยังไงมากกว่า ที่มันจะเป็นตัวกำหนดว่าชีวิตคุณจะเป็นยังไง เราแก้ที่ใครไม่ได้เราแก้ที่ตัวเองได้ ผมเป็นคนคิดมากเลยไม่ได้ดู ผมเล่นโซเชียลน้อยมากนะ บางครั้งผมโพสต์รูปแล้วผมก็ออกเลย ผมไม่ได้ดูต่อ รอบต่อไปก็เข้าไปโพสต์แล้วออก ผมชอบโต้ตอบพูดคุยมองตากับคนมากกว่า ชอบสัมผัสพลังงานระหว่างที่คุยต่อหน้ามากกว่า” มีมุมมองความรักตอนนี้อย่างไร โฟกัสกับมันมั้ย? “ผมกำลังสนุกกับการทำงานมากๆ ณ ชีวิตช่วงนี้ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างลงตัว ผมมีคนรอบข้างที่น่ารักมากๆ เวลาไปออกกองก็เจอทีมงานที่ดี มีเพื่อนที่ดี ผมกลับไปอยู่บ้านครอบครัวผมสุขภาพแข็งแรง วันหยุดได้กินข้าวกับคุณแม่บ้าง และทุกวันนี้ได้ทำงานที่ผมรัก ผมว่าผมโอเคมากๆกับชีวิตที่ผมเป็นตอนนี้ ผมคิดว่าถ้ามันเจอใครแล้วไม่ใช่ เมื่อเราสร้างความทรงจำกับคนที่วันนึงเราคิดว่าเค้าไม่ใช่ หลังจากนั้นจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ถ้ายังไม่เจอใครที่อยู่ด้วยกันได้ พร้อมที่จะให้อภัย เข้าใจกัน ก็รออีกหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไร”เป็นคนทุ่มเทเกินร้อยเรื่องงาน แล้วความรักล่ะ ทุ่มแบบคลั่งรักมั้ย? “ผมเป็นคนตามใจคนรัก เห็นผมเป็นคนแบบนี้ เป็นคนเอาแต่ใจก็ตาม แต่เวลามีแฟน ถ้าผมตัดสินใจว่าคนนี้เป็นแฟนกันผมจะค่อนข้างตามใจแฟน และพร้อมซัพพอร์ตคนที่เรารักในทุกเรื่อง แต่เราไม่สามารถนิยามได้ว่าเราจะเจอคนแบบไหน ผมมองว่าไม่มีใครที่จะมีความรักหวานชื่นตั้งแต่วันเริ่มต้นไปจนปลายทาง ทุกคนอาจจะต้องทุกข์ทรมานกับบางสิ่งในความสัมพันธ์ แต่ถ้าวันนึงถ้าเจอใครที่มีคุณค่าพอที่เราจะยอมให้เค้าสักครึ่งนึงและพร้อมที่จะให้อภัยเค้า มันก็คุ้มค่าพอแล้ว”คนนั้นต้องเป็นคนในรึนอกวงการ? “ไม่รู้เลยครับ เอาจริงๆทุกวันนี้คิดภาพไม่ออก เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเราชอบคนยังไง เวลามีคนถามว่ามีสเปกมั้ย มันไม่มีจริงๆ ไม่อยากนั่งคิดว่าเราต้องจีบคนแบบนี้แบบนั้น อยากแค่ให้ความสัมพันธ์มันก่อกำเนิดเป็นธรรมชาติ เมื่อมันเจอ มันก็เจอ” มีคนอยากเข้ามาทำความรู้จักบ้างมั้ย? “ไม่ค่อยเลย เพราะช่วงนี้ ไม่ค่อยได้เจอใคร ทุกวันนี้อยู่กับกองถ่ายเยอะ”.เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัยอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่