ลงนามแล้วข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา โดยคงยึดตามกรอบ “ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์” พร้อมเงื่อนไขหยุดยิงเป็นเวลา 72 ชั่วโมง แลกกับการปล่อยตัว 18 เชลยศึก โดยหวังกัมพูชาพิจารณาด้านมนุษยธรรมเปิดทางคนไทยในปอยเปตได้กลับมาตุภูมิ กองทัพย้ำหากเขมรพลิกลิ้นอีก พร้อมตอบโต้เหมือนเดิม ขณะที่ “สีหศักดิ์” บินประชุมไตรภาคีจีน-ไทย-กัมพูชา คาดคุยนอกรอบกับ รมว.กต.กัมพูชา แต่ก่อนหน้าลงนามแค่ 30 นาที ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขาขาดเป็นรายที่ 10 ที่เขาสัตตะโสม ศรีสะเกษ รวมถึงปะทะดุเดือด “ช่องอานม้า-ช่องบก” ทำทหารไทยเจ็บหลายนาย และทหารสละชีพอีก 1 ที่สระแก้ว เป็นรายที่ 27ในที่สุดหลังเกิดการปะทะระหว่างกองทัพไทยกับกัมพูชาต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค.จนถึงวันที่ 27 ธ.ค. รวม 20 วัน ทำให้ทหารไทยรวมถึงราษฎรไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จากการโจมตีใส่พื้นที่ชุมชนด้วยอาวุธหนักของกัมพูชา ก่อนที่จะมีลงนามหยุดยิงชั่วคราว หวังฟื้นฟูสันติภาพระหว่างกันรักษาพื้นที่ที่ได้คืนยากกว่าเมื่อเวลา 09.00 น. ที่ค่ายเทวาพิทักษ์ หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธิน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ในวันนี้ โดยกัมพูชาได้ตอบรับข้อตกลงทั้ง 4 ข้อ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เคยทำไว้แล้วที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยจะมีการลงในรายละเอียดต่างๆอีกครั้ง ขณะนี้เรามีความมั่นใจเป้าหมายที่กองทัพได้รับมอบหมายสามารถทำไปแล้ว 99 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีกบางส่วนที่ต้องนำกำลังไปวาง โดยการเข้ายึดพื้นที่คืนว่ายากแล้ว การรักษายากกว่า แต่เราต้องรักษาผืนแผ่นดินไทยของเราทั้งหมดไว้ เป็นการยึดในที่หมายพื้นที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อประชาชนและอธิปไตยหารือก่อนลงนามร่วมหยุดยิงผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกำหนดการประชุม GBC ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3/68 มีขึ้นในที่จุดผ่านแดนถาวร บ.ผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยฝ่ายไทยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ส่วนฝ่ายกัมพูชา มี พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รมว.กลาโหม มาร่วมประชุมในเวลา 09.30 น.โดยมีการประชุมร่วมกันประมาณ 30 นาที และภายหลังการหารือ ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามในถ้อยแถลงร่วม ที่จะเป็นข้อตกลงในการหยุดยิงรวมถึงความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นตามข้อตกลงกัวลาลัมเปอร์ ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2568 และมีข้อเสนอที่ฝ่ายกัมพูชายอมรับที่จะหยุดยิง 72 ชั่วโมง เพื่อขอให้ฝ่ายไทยส่งตัวทหารกัมพูชา 18 คน ที่เป็นเชลยศึก ตามที่มีการหารือกันในฝ่ายเลขานุการฯ และมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน AOT นำโดย พลจัตวา ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย หัวหน้าคณะผู้สังเกตการณ์ประจำประเทศไทย ร่วมติดตามการประชุมครั้งนี้ด้วยเปิด 3 เงื่อนไขไทยต่อมาเวลา 11.00 น. ที่โรงแรมชาเทรียม จ.จันทบุรี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม แถลงข่าวภายหลังการลงนามข้อตกลง GBC ว่าการพิจารณาหยุดยิงนั้นไทยได้กําหนดเงื่อนไขที่ชัดเจน 3 ประการ เพื่อให้เกิดความสงบอย่างแท้จริงยั่งยืนดังนี้ 1. ต้องมีการประกาศหยุดยิงอย่างเป็นทางการและจริงใจ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้ประกาศไว้ในที่ประชุมรมว.ต่างประเทศอาเซียนว่า จะหยุดยิงตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. เวลา 22.00 น. โดยไม่มีเงื่อนไข แต่ฝ่ายไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า การหยุดยิงที่จะเกิดความยั่งยืนต้องเกิดทั้งสองฝ่ายได้มาพูดคุยกันอย่างจริงใจ จึงเป็นที่มาของการประชุมจีบีซีในครั้งนี้ และจัดทําแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาเพื่อเป็นหลักการสําคัญในการแก้ไขปัญหาระหว่างสองประเทศแบบทวิภาคีอย่างแท้จริงตกลงหยุดยิงตั้งแต่เที่ยง 27 ธ.ค.พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า 2.การหยุดยิงต้องเกิด ขึ้นจริงและต่อเนื่อง ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงร่วมกําหนดมาตรการสําคัญ ได้แก่ ให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 27 ธ.ค. และประเด็นที่สําคัญที่สุด ให้ทั้งสองฝ่ายยังคงกําลังทหารในพื้นที่ระดับปัจจุบัน โดยต้องไม่มีการเคลื่อนย้ายหรือเสริมกําลังเพิ่มเติมเข้าหากันและไม่มีการโจมตีหรือยั่วยุซํ้า ให้ติดตามเฝ้าสังเกตการณ์การหยุดยิง 72 ชั่วโมงเพื่อยืนยันว่าการหยุดยิงเกิดขึ้นจริง และมีความต่อเนื่องก็ต่อเมื่อสถานการณ์สงบลง ประชาชนจะสามารถกลับเข้าสู่ที่พักอาศัยได้อย่างปลอดภัย จากนั้นจะมีการปล่อยตัวทหารกัมพูชาทั้ง 18 นาย ทั้งนี้เป็นไปตามหลักสากลที่กําหนดให้ปล่อยตัวเมื่อสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์เขมรต้องตั้งใจแก้ปัญหาทุ่นระเบิดพล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า 3.มีเจตนาตั้งใจสุจริตในการแก้ไขปัญหาทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นประเด็นด้านมนุษยธรรมที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด ดังนั้นทั้ง 2 ฝ่ายจึงเห็นพ้องในแนวทางลดความตึงเครียดและกำหนดกลไกปฏิบัติที่ชัดเจนผ่านคณะทำงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมหรือ JTCF เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีระบบปลอดภัยโปร่งใส ขอย้ำว่าจะต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้แล้วเสร็จ ทำให้พื้นที่มีความปลอดภัยก่อนที่จะสำรวจและจัดทำหลักเขตในระยะต่อไป นอกจากเงื่อนไข 3 ประการที่จะทำให้การหยุดยิงเกิดขึ้นได้จริงและต่อเนื่องแล้ว ข้อตกลงฉบับนี้ยังคงรักษาสาระสำคัญตามข้อตกลงทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชาคือการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ และการค้ามนุษย์ ซึ่งจะดําเนินการต่อเนื่องต่อไปหวังเป็นโอกาสแก้ด้วยสันติวิธีรมว.กลาโหม กล่าวอีกว่า การสูญเสียของกำลังพลทุกนายไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในรายงาน แต่เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐบาลที่จะดูแลเรื่องสิทธิสวัสดิการ เยียวยา การดูแลผู้บาดเจ็บและครอบครัวในระยะยาว รวมถึงการพิจารณาดูแลกําลังพลหลังการรบด้วยความจริงจังต่อเนื่องและเร่งด่วน พร้อมยืนยันว่า การหยุดยิงในครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ใช้วิธีแก้ปัญหาโดยสันติวิธีในเวทีทางการทูตเพื่อกลับเข้ามาสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกันอีกครั้ง รัฐบาลและกองทัพจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตัดสินใจทุกขั้นตอนบนข้อเท็จจริง โดยยึดถืออธิปไตยศักดิ์ศรีของชาติ ความปลอดภัย และการใช้ชีวิตปกติของประชาชนยึดกรอบปฏิญญากัวลาลัมเปอร์นอกจากนี้มีรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าการประชุมครั้งนี้ ตลอดช่วงวันที่ 24-26 ธ.ค.68 ประธานเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่าย ได้แก่ พลเอกณัฐพงษ์ เพราแก้ว รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะประธานเลขานุการ GBC ฝ่ายไทย และ พลตรีแญม โบราเดน ประธานเลขานุการ GBC ฝ่ายกัมพูชา ได้หารือและปรับแก้ร่างข้อตกลงร่วมกันหลายครั้ง จนได้ร่างฉบับที่ 6 เป็นฉบับสุดท้าย เป็นข้อตกลงหยุดยิงพร้อมติดตามผล 72 ชั่วโมง โดยทุกเงื่อนไขยังคงอยู่ภายใต้กรอบปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ ที่ผู้นำไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่มี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่มีสาระสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่ การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน การเก็บกู้วัตถุระเบิดในพื้นที่เสี่ยง ความร่วมมือในการปราบขบวนการสแกมเมอร์ และการหาแนวทางบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในอนาคตเห็นพ้องร่วมกันอีก 16 ข้อนอกจากนี้ มีรายละเอียดเพิ่มเติมที่มีการเห็นพ้องในข้อตกลงอีก 16 ข้อ แบ่งเป็นมาตรการลดความรุนแรง 11 ข้อ และกลไกสำหรับการดำเนินการและการตรวจสอบมาตรการลดความรุนแรง 5 ข้อ อาทิ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะคงกำลังทหารไว้ในตำแหน่งปัจจุบันโดยไม่มีการเคลื่อนย้ายเพิ่มเติม จะไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังทหารใดๆ รวมถึงการลาดตระเวนไปยังตำแหน่งของอีกฝ่ายหนึ่ง ข้อตกลงทั้งหมดภายใต้แถลงการณ์ร่วมฉบับนี้ไม่กระทบต่อการกำหนดเขตแดนและพรมแดนระหว่างสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะอนุญาตให้พลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบเดินทางกลับบ้านและประกอบอาชีพตามปกติในพื้นที่ภายในเขตแดนของตนเองโดยเร็วที่สุด โดยปราศจากการขัดขวาง จะไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการยั่วยุซึ่งอาจทำให้ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งรวมถึงกิจกรรมทางทหารที่รุกล้ำน่านฟ้าและดินแดนของอีกฝ่าย หรือตำแหน่งที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง งดเว้นจากการก่อสร้างหรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางทหารหรือป้อมปราการใดๆ นอกเหนือเขตแดนของตนเอง รวมถึงจะงดเว้นจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอม เพื่อลดความตึงเครียด บรรเทาความรู้สึกเชิงลบของประชาชน และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจรจาอย่างสันติ ฯลฯสาระเดิมเพิ่มเติมคือสายด่วนต่อมา พล.อ.อ.ประภาส สอนใจดี ผู้ช่วย ผบ.ทอ. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้สัมภาษณ์ภายหลังมีการลงนามในถ้อยแถลงผลการประชุม GBC ว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะมีการสื่อสารผ่านทางสายด่วนกับประเทศกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและหาทางออกด้วยความสันติวิธี โดยจะมีทั้งทูต AOT รวมถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้ง 2 ประเทศ และประเทศไทยจะนำหลักฐานทุกสิ่งอย่างไปใช้ในเวทีนานาชาติ เพื่อยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่ฝ่ายเริ่มยิงก่อน ทั้งนี้ ผลการลงนามมีการยืนยันว่าหยุดยิงเป็นเวลา 72 ชั่วโมง แต่ถ้าหลังจากนั้น กัมพูชาละเมิดข้อตกลง เปิดฉากปะทะอีกครั้ง กองทัพไทยก็จะใช้มาตรการเดิมในการตอบโต้ พร้อมจะเปิดหลักฐานในเวทีโลก เพื่อให้ประชาคมโลกเห็นข้อเท็จจริงพร้อมส่ง 18 เชลยเขมรกลับบ้านพล.อ.อ.ประภาสกล่าวอีกว่า หากหยุดยิงครบ 72 ชั่วโมงตามข้อตกลง ไทยจะส่งเชลยศึก 18 นายกลับคืนสู่ประเทศ เพื่อแสดงความจริงใจ และอยากให้กัมพูชาดูเรื่องมนุษยธรรม เพราะยังมีคนไทยในปอยเปตที่ต้องการจะกลับไทย แต่ถ้าหากส่งคืนเชลยศึกแล้ว กัมพูชาละเมิดข้อตกลง กองทัพก็จะตอบโต้เหมือนเดิม เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง และจะนำข้อเท็จจริงทั้งหมดไปสื่อสารกับประชาคมโลกให้ทุกคนเห็นว่าไทยตอบโต้ตามมาตรฐานสากล และเปิดทางที่จะใช้การเจรจาอย่างสันติภาพด้วยความจริงใจแล้ว ถึงแม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลา ใช้กระบวนการในเวทีนานาชาติ แต่ขอให้มั่นใจว่าเราต่อสู้ด้วยความจริง กองทัพไม่มีหยุดปีใหม่ เตรียมพร้อมที่จะรับใช้ชาติตลอดเวลา และคาดหวังความจริงใจจากกัมพูชา จะไม่ละเมิดข้อตกลงใดๆอีก“สีหศักดิ์” บินไปจีนพบ “หวัง อี้”ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา กรณีมีกระแสต้านจากประชาชนไม่เห็นด้วยที่จะมีการลงนามปฏิญญาร่วมหยุดยิงกับกัมพูชา เพราะมองว่ากัมพูชาไว้ใจไม่ได้ว่า การประชุม สมช.เป็นไปตามขั้นตอน กองทัพมีขั้นตอนอยู่แล้ว และรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และได้รับรายงานว่ากองทัพสามารถสถาปนาบูรณภาพดินแดนในทุกพื้นที่ อยู่ในแผนเป็นที่เรียบร้อย ส่วนการดำเนินการทางด้านการทูตเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศและคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ซึ่งเขาต้อง กำหนดการตกลงที่ตกลงในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน และวันที่ 28 ธ.ค. นายหวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน เชิญนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ไปร่วมหารือที่นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีนรองนายกฯเขมรรับคำเชิญจีนเช่นเดียวกับกระทรวงต่างประเทศกัมพูชาออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาระบุ นายปรัก โสคน รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศกัมพูชา จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนกัมพูชาเข้าร่วมการประชุมไตรภาคี จีน-ไทย-กัมพูชา ที่มณฑลยูนนานของจีน ระหว่างวันที่ 28-29 ธ.ค.นี้ ตามคำเชิญของนายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศจีน เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา อย่างตรงไปตรงมา และสร้างสรรค์ หวังลดความตึงเครียด และฟื้นฟูสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพตามพื้นที่ชายแดนทั้งสองประเทศ รัฐบาลกัมพูชายังแสดงความชื่นชมต่อบทบาทของจีน ในฐานะประเทศเจ้าภาพ ที่เอื้อให้เกิดเวทีการเจรจา และสนับสนุนความพยายามในการส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกันทหารไทยขาขาดรายที่ 10อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานหลังการลงนามหยุดยิงได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็มีรายงานจากกองทัพบกว่าทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขาขาดอีก 1 ราย นับเป็นรายที่ 10 ในการปะทะรอบสอง จากนั้น พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้ว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น.กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่ากำลังพลประสบอุบัติเหตุจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 ระหว่างการปฏิบัติภารกิจที่เขาสัตตะโสม จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้พลทหารนรินทร์ เงาไพร อายุ 25 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสขาข้างขวาขาด และมีการนำผู้บาดเจ็บขึ้นเฮลิคอปเตอร์ส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสุรินทร์เป็นที่เรียบร้อยแล้วตลอดเช้าชายแดนระอุสุดขีดนอกจากนี้ ในช่วงเช้าวันเดียวกัน ยังเกิดเหตุปะทะอย่างดุเดือดอีกจุด โดยเฟซบุ๊กเพจ “Army Military Force” โพสต์ข้อความหลายครั้ง ว่า “F-16 ขยันมาก ทิ้งไข่ทั้งคืน” จากนั้นโพสต์ข้อความอีกว่า “ด่วน!! เวลา 08.25 น. เครื่องบินรบขับไล่ Gripen และ F-16 ของกองทัพอากาศไทย ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศร่วมกัน ทิ้งระเบิดต่อเป้าหมายคลังอาวุธและฐานปฏิบัติการของกองทัพกัมพูชาบนเนินเขาพนมดงรักในพื้นที่ ต.ตระเปียงไปร อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย ของกัมพูชา ทิศทางด่านช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ”เขมรยิงใส่ช่องอานม้า–ช่องบกเช่นเดียวกับที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทหารกัมพูชายิงจรวด BM-21 ใส่ฐานทหารฝ่ายไทยที่ช่องอานม้าและช่องบก และไทยยิงตอบโต้กลับไปด้วยปืนใหญ่เสียงดังอย่างต่อเนื่อง และเงียบเสียงลงในเวลาเที่ยงวันที่มีการลงนามหยุดยิง แต่ผลการปะทะ ทหารฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิด 2 นาย ได้แก่ จ.ส.อ.พิทยา ศรัลพันธ์ สังกัด ร.6 พัน.2 จากช่องอานม้า และ จ.ส.อ.กิตติคุณ พันธุ์กาฬสินธุ์ สังกัด ป.6061 จากช่องบก ทั้งสองถูกนำตัวส่ง รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์กระสุนเขมรตกใส่วัด ชรบ.สาหัสส่วนที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ช่วงเช้า มีเหตุกัมพูชายิงกระสุนปืนใหญ่ตกภายในวัดในพื้นที่ชายแดน ต.เสาธงชัย ทำให้นายสมัย จันดียืน สมาชิกชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากถูกสะเก็ดกระสุนปืนใหญ่บริเวณท้ายทอย ต้องเร่งนำตัวมา รพ.กันทรลักษ์ และถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ ด้านพระวิวัฒนาการเปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุ เวลา 07.00 น. ขณะพระสงฆ์ 4 รูป กำลังฉันข้าวเพียง 2-3 คำ มีระเบิดลูกหนึ่งวิ่งข้ามหัวไป และลูกที่สองตกใกล้บริเวณที่ตนและ ชรบ.อยู่ ทำให้มีสะเก็ดระเบิด จนได้รับบาดเจ็บดังกล่าวส่งร่างทหารกล้ากลับภูมิลำเนาที่ รพ.ค่ายจักรพงษ์ อ.เมืองปราจีนบุรี ทำพิธีส่งร่าง 3 ทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เมื่อช่วงเย็นวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา ประกอบด้วย จ.ส.อ.พงศกร นาคทองดี อายุ 36 ปี พลทหารปฏิพัทธิ์ ศรประดิษฐ์ อายุ 19 ปี และพลทหารทิวตะวัน พลเยี่ยม อายุ 22 ปี กลับคืน สู่ภูมิลำเนา โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งผู้บังคับบัญชา ตั้งแถวเกียรติยศรอส่งอย่างสมเกียรติ โดยระหว่างเคลื่อนร่าง จ.ส.อ. พงศกร นาคทองดี หรือจ่าดิว จาก รพ.ขึ้นยังอาคารสุริยะบูรพา เพื่อประกอบพิธีทอดผ้าบังสุกุล ปรากฏว่า ลูกสาวจ่าดิวได้นำธงชาติโบกต่อหน้ารูปศพของจ่าดิว พร้อมกับถามแม่อย่างไร้เดียงสาว่า “พ่อไปไหน แม่บอกว่าพ่อไปสวรรค์แล้ว” ทั้งนี้ร่างของ จ.ส.อ.พงศกรถูกนำขึ้นขบวนรถ มทบ.12 ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดศรีจุฬา อ.เมืองนครนายก ส่วนร่างของพลทหารปฏิพัทธิ์ ศรประดิษฐ์ เจ้าหน้าที่เคลื่อนร่างขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เดินทางกลับภูมิลำเนาที่เกาะช้าง จ.ตราด ขณะที่มีการส่งร่างพลทหารทิวตะวัน พลเยี่ยม ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดหนองแมงดาราษฎร์บำรุง ต.ป่าก่อ อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญพลฯโตเกียวอาการปลอดภัยสำหรับอาการของพลทหาร นิธิกร หรือน้องโตเกียว สมทุม อายุ 21 ปี ซึ่งถูกสะเก็ดระเบิดจรวด BM-21 ที่บ้านหนองจาน และมีข่าวว่าเสียชีวิต แต่ต่อมาแพทย์ได้ดึงชีพจรของพลทหารนิธิกรจนกลับมาเต้นอีกครั้ง และเข้ารับการผ่าตัดที่ รพ.อานันทมหิดล จ.ลพบุรี ทั้งนี้ พันเอกนายแพทย์ นพรัตน์ เรืองวงศ์โรจน์ ผอ.กองศัลยกรรม รพ.อานันทมหิดล เปิดเผยว่าพลฯ นิธิกร ยังอยู่ในห้องไอซียู เบื้องต้นผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยอาการอยู่ในขั้นปลอดภัยทหารพลีชีพอีก 1 สมรภูมิอรัญฯจากนั้นไม่นาน กองทัพภาคที่ 1 ได้โพสต์ผ่านเพจ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อครอบครัว “จ.ส.อ.พีระยุทธ น้าวิลัยเจริญ” สังกัด กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 2 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์ เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตย ในพื้นที่ ชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นับเป็นทหาร รายที่ 27 ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะกับกัมพูชาในรอบที่สองนี้ทหารถูกยิงเจ็บเพิ่มอีก 2 นายด้านกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 27 ธ.ค. ณ เวลา 13.00 น. ว่า ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ขอแสดงความเสียใจต่อกำลังพลเหยียบทุ่นระเบิดและถูกยิงในพื้นที่สัตตะโสม เมื่อเวลา 11.46 น. พัน.ร.12 ได้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อเข้ากวาดล้างคูติดต่อภายในฐานของฝ่ายกัมพูชา ที่อยู่บริเวณทิศตะวันตกเขาสัตตะโสม ระหว่างการกวาดล้าง พลทหาร นรินทร์ เงาไพร ได้เหยียบทุ่นระเบิดที่ทหาร กัมพูชาวางไว้ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณขา นอกจากนั้น มีกำลังพลถูกยิงจำนวน 2 นาย ได้แก่ จ.ส.อ.สิระศิก จิตบุญ ถูกยิงที่ฝ่ามือข้างซ้ายกับแขนข้างขวา และ ส.อ.สุขสันต์ โนนโพธิ์ ถูกยิงที่ต้นแขนด้านหลังข้างขวา ถูกนำส่งไป รพ.แล้วอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่