ผบ.ตร.แจงปมสั่งเด้งผู้การเมืองคอนเข้ากรุ ศปก.ตร. เซ่นคลิปเสียงจวกลูกน้องจัดการเรียกเก็บส่วยไม่ลงตัว เชื่อเป็นเสียงจริงไม่ใช่ AI พิสูจน์ได้ไม่ยาก มอบหมาย จชต.ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด หากผิดจริงลงดาบฟันทั้งวินัยและอาญา ให้ พฐ.ตรวจมือถือหาผู้เกี่ยวข้องเบื้องต้นมีตำรวจ 3 นาย ขู่เชือดถึงระดับ ผบช. สั่งการภาค 8 ตรวจสอบควบคู่กันไปด้วยใครมีเอี่ยวอีก ชี้เป็นพฤติกรรมส่วนบุคคลอย่าเหมารวมทั้งองค์กร ด้านเจ้าตัวชี้แจงไม่รู้เรื่องการพูดคุยในคลิปโฉ่ ยอมรับโทร.ไปสั่งกำชับเข้มงวดกวดขันตามนโยบายผู้บังคับบัญชา วอนขอความเป็นธรรม พร้อมให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกลายเป็นประเด็นร้อนสนั่นโซเชียล หลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายตำรวจระดับผู้บังคับการจังหวัดชื่อ “ผู้การเกรียง” พูดจาต่อว่าตำรวจ สภ.ฉวาง ผู้ใต้บังคับบัญชา เกี่ยวกับการจัดการเรียกรับผลประโยชน์ในพื้นที่ไม่ลงตัว จนกระทั่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ลงนาม คำสั่งให้ พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ นุ่นเกลี้ยง ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ไปช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากหน้าที่ตำแหน่งเดิม ตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.เป็นต้นไป ในคำสั่งระบุว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีข้าราชการตำรวจเรียกรับผลประโยชน์ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้าง อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเนื่องจากเป็นที่สงสัยว่ามีข้าราชการตำรวจประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่และไม่มีความเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 22 ธ.ค. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เปิดเผยกรณีคลิปเสียงสนทนาเรียกรับผลประโยชน์ระหว่าง ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช กับตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัดว่า ขณะนี้มีคำสั่งให้ผู้บังคับการคนดังกล่าวเข้ามาช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร.แล้ว พร้อมมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมด รวมทั้งให้กองวินัยดำเนินการเรื่องระเบียบวินัย พร้อมระบุว่าจากที่ได้ฟังคลิปเสียงทั้งหมดเชื่อได้ว่าเป็นผู้บังคับการจังหวัด แต่จะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือโดยกองพิสูจน์หลักฐาน หรือ พฐ. รวมทั้งตรวจสอบเรื่องของบุคคลที่อยู่ในเสียงสนทนาทั้งหมด เบื้องต้นพบว่ามีตำรวจ 3 นาย ส่วนจะมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่พยานหลักฐานผบ.ตร.กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ ผบช.ภ.8 ตรวจสอบควบคู่กันไปด้วยว่ามีนายตำรวจที่มีชั้นยศต่ำกว่าผู้บังคับการจังหวัดลงมาเกี่ยวข้องหรือไม่ หากพบสามารถดำเนินการทางวินัยได้ทันที และหากพบว่าผลตรวจสอบมีความผิดทั้งระดับท้องที่และส่วนกลางที่จเรตำรวจก็จะพิจารณาตั้งแต่ระดับรอง ผบก.ถึง ผบช.เรื่องนี้ด้วย เพราะตนได้เน้นย้ำมาโดยตลอดและจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนบุคคลเพราะในหนึ่งองค์กรก็ย่อมมีคนที่ประพฤติไม่ดีจึงอยากให้มองเป็นตัวบุคคลอย่าเหมารวมตำรวจทั้งหมดส่วนกรณีที่ ผกก.สภ.ฉวาง ระบุคลิปเสียงเป็น AI พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า การตรวจสอบเรื่องดังกล่าวไม่ยาก เพราะแม้เป็นคนร้ายที่ยิงกันตำรวจยังพิสูจน์และจับกุมตัวได้ ยืนยันทำอย่างตรงไปตรงมาไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนที่มีหลายฝ่ายมองว่าชุดเฉพาะกิจของพื้นที่เป็นคนของผู้บังคับการจังหวัดแล้วมีอำนาจเต็มในการเรียกรับผลประโยชน์นั้น เรื่องดังกล่าวจะต้องไปตรวจสอบเพราะชุดเฉพาะกิจเป็นตำรวจที่ได้รับมอบหมายและทำงานตามนโยบาย แต่ในส่วนที่เป็นชุดเฉพาะกิจนอกแถวจะต้องดำเนินการตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นทางอาญาหรือวินัยหากมีหลักฐานว่ากระทำความผิดจริง ส่วนจะมีการยกเลิกชุดเฉพาะกิจหรือไม่จะต้องมีการพิจารณาเพราะชุดเฉพาะกิจก็ยังมีประโยชน์มาก หากยกเลิกอาจทำให้เกิดผลเสียต่อหน้างานที่จำเป็นได้ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเย็นวันที่ 21 ธ.ค. สภ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ออกเอกสารข่าวระบุว่ากรณีพบข่าวในเพจเฟซบุ๊ก “พระจันทร์ ลายกระต่าย V5” มีรายละเอียดภาพของ พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ นุ่นเกลี้ยง ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช พร้อมข้อความโพสต์ว่า “หน้าเสื่อฉวาง นายร้อย 53 หมูไม่กลัวน้ำร้อน นายพลก็นายพลเหอะ ปิดจ๊อบอีก 1 นายพล จากที่มรึงได้กรูก็ได้ ตอนนี้กลายเป็นกรูตายมรึงก็ต้องตาย มังกรพลัดถิ่น หรือจะสู้งูดินเจ้าที่” และมีเสียงชายสองคนสนทนากันเป็นภาษาไทยความยาวเสียงประมาณ 01.52 นาทีประกอบข่าวพ.ต.อ.ภูวศิษฐ์ วังแก้ว ผกก.สภ.ฉวาง ชี้แจงว่า จากข่าวดังกล่าวตรวจสอบแล้วไม่สามารถยืนยันว่าเสียงชายสองคนที่ปรากฏในบทสนทนาเป็นเสียงของบุคคลใดที่เกิดขึ้นจริง จึงอาจจะเกิดจากการสร้างบทสนทนาผ่านเสียงพูด หรืออาจเกิดจากการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI สร้างขึ้น และขณะนี้ยังไม่ทราบแหล่งที่มาของเสียงในการสนทนาว่าเป็นของผู้ใด ทั้งข่าวที่เกิดขึ้นนี้ กระทำโดยไม่ทราบว่ามีจุดมุ่งหมายใด จะทำการตรวจสอบต่อไปด้าน พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ นุ่นเกลี้ยง ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ชี้แจงทางโทรศัพท์ว่า ไม่ทราบเรื่องการพูดคุยตามคลิปที่เป็นข่าวเผยแพร่ทางโซเชียล แต่ยอมรับว่าได้โทร.ไปสั่งการกำชับมอบนโยบายเรื่องให้เข้มงวดกวดขันตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาจริง โดยเฉพาะการรายงานเหตุการณ์ที่เกิดในพื้นที่ไม่ตรงหรือขัดแย้งกับข้อเท็จจริง จึงอยากขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนและประชาชนในเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนผู้บังคับบัญชาจะพิจารณาดำเนินการอย่างไรนั้น ตนพร้อมให้ตรวจสอบหรือสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ผู้สื่อข่าวเดินทางไปสังเกตการณ์ที่ สภ.ฉวาง วันที่ 22 ธ.ค. ตลอดทั้งวันบรรยากาศเป็นไปด้วยความเงียบเหงา มีตำรวจมาทำงานตามปกติ ทุกคนต่างปิดปากเงียบไม่กล้าพูดจาอะไรเกรงจะถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ แต่ยังคงจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนตำรวจที่ชื่อ “อุดมศักดิ์” ตามที่ปรากฏในคลิปเสียงสนทนากับ พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ไม่อยู่โรงพัก ยังเก็บตัวเงียบไม่กล้าออกมาเจอใครส่วนความเคลื่อนไหวของ พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ หลังถูกคำสั่งย้ายไปช่วยราชการ ศปก.ตร. ในช่วงเช้าวันเดียวกันได้เดินทางไปที่ท่าอากาศยานนานาชาตินครศรีธรรมราช เพื่อขึ้นเครื่องบินเดินทางเข้ากรุงเทพฯไปรายงานตัวกับ ผบ.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผู้พบเห็น พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ ขณะนั่งรอขึ้นเครื่องมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา นั่งเงียบอยู่คนเดียวโดยไม่มีผู้ติดตาม ส่วน พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น รอง ผบช.ภ.8 ที่มีคำสั่งให้มารักษาราชการแทนตำแหน่ง ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ได้เดินทางมารับตำแหน่งแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนประวัติ พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ นุ่นเกลี้ยง นรต.รุ่น 46 ก่อนหน้านี้เคยเป็น รอง ผบก.ภ.จ.กระบี่ ย้ายมาเป็นรอง ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช เมื่อปี 66 จนได้ขึ้นเป็นนายพลได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากรับตำแหน่งได้ไม่นานก็มีคำสั่งโยกย้ายตำรวจในสังกัดหลายคน สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรมแต่ไม่มีใครกล้าโวยวาย จนมาถูกคำสั่ง เด้งฟ้าผ่าเซ่นคลิปเสียงหลังจากอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 3 เดือน ต่างมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา กันอย่างคึกคัก