เมื่อไม่นานมานี้...นับเป็นหนึ่งในครั้ง ประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยสวมบทบาท “ผู้นำ” ในการเซ็ตซีโร่อาชญากรรมไซเบอร์ ผ่าน “แถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ 2025”พุ่งเป้า 6 เสาหลักยุทธศาสตร์รับมืออาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปิดช่องโหว่ที่เคยมีในอดีต เริ่มจาก หนึ่ง...ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ บีบให้ทุกประเทศต้องใช้ทรัพยากรและผู้นำระดับสูงลงมาขับเคลื่อน ไม่ใช่แค่หน้าที่ของตำรวจชั้นผู้น้อยสอง...ทลายพรมแดนกฎหมาย เร่งส่งต่อพยานหลักฐานดิจิทัลและผู้ร้ายข้ามแดนให้รวดเร็ว ไม่ให้คนร้ายใช้ช่องว่างของเขตอำนาจศาลเป็นเกราะกำบัง สาม...เหยื่อต้องไม่ใช่จำเลย แยกแยะ “เหยื่อค้ามนุษย์” ที่ถูกบังคับให้เป็นสแกมเมอร์ออกจากอาชญากรตัวจริง เน้นการคุ้มครองและส่งกลับอย่างมีศักดิ์ศรีสี่...ไล่ล่าเส้นเงิน (Money Trail) ควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto) และใช้ข่าวกรองทางการเงินสกัดกั้นการฟอกเงินและยึดทรัพย์ให้ถึงต้นตอ ห้า...สู้เทคโนโลยีด้วยเทคโนโลยี ปรับปรุงระบบนิเวศออนไลน์ให้ปลอดภัยเท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของกลุ่มโจร หก...สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ดึงภาคเอกชน (Platform&ISP) เข้ามาเป็นแนวร่วมคัดกรองเนื้อหาหลอกลวงก่อนถึงมือประชาชนปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพจำของแนวตะเข็บชายแดนไทยที่เคยเป็นเพียงเส้นทางหนีภัยสงคราม วันนี้กำลังแปรสภาพเป็น “อาณาจักรอาชญากรรมไซเบอร์” ที่ยิ่งใหญ่และโหดเหี้ยมที่สุดในภูมิภาค ท่ามกลางกลิ่นอายของเม็ดเงินมหาศาลที่สะพัดจากกระเป๋าเหยื่อสู่นายทุนข้ามชาติโดยมี “ฟันเฟืองส่วย” และ “เส้นขนานคอร์รัปชัน” เป็นน้ำมันหล่อลื่นให้เครื่องจักรสังหารนี้ยังเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร้รอยต่อ?หากกางแผนที่ดูแนวชายแดนด้านตะวันตกและตะวันออก จะพบว่า “จุดยุทธศาสตร์” ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์มักตั้งอยู่ใน พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ หรือ เขตอิทธิพลของกองกำลังท้องถิ่นฝั่งเพื่อนบ้าน ที่นั่นไม่ใช่แค่ตึกออฟฟิศธรรมดา แต่คือ “ป้อมปราการอาชญากรรม”...ที่มีทั้งระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบไฟฟ้า...กำลังคนข้ามชาติที่ถูกหลอกมาทำงานแหล่งข่าวด้านความมั่นคงแนวชายแดน ย้ำว่า “ขบวนการนี้ไม่ใช่กลุ่มวัยรุ่นสร้างตัว แต่เป็นเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนสีเทาที่ย้ายฐานมาจากกัมพูชาสู่พม่า พวกเขาใช้เทคโนโลยีขั้นสูงควบคู่ไปกับการทารุณกรรมมนุษย์”คำถามที่สังคมคาใจมาตลอดคือ “อินเตอร์เน็ตข้ามฝั่งไปได้อย่างไร? สายเคเบิลใครลาก? และคนนับพันผ่านด่านไปได้อย่างไร?” คำตอบที่เจ็บปวดซ่อนอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “ค่าตั๋ว” หรือไม่ก็...“ส่วยรายหัว”? ที่ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ระดับนายหน้าพาคนข้ามแดนที่ต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้กับเจ้าหน้าที่บางหน่วยบางคนหรือไม่ เพื่อให้ “หลับตาข้างเดียว” หรือไม่ก็...“ส่วยเทคโนโลยี” การลักลอบปล่อยสัญญาณอินเตอร์เน็ตและสัญญาณมือถือข้ามพรมแดน ซึ่งยากจะปฏิเสธว่าไม่มีคนในรู้เห็นหรือไม่ก็...“การคุ้มกัน” เงินคอร์รัปชันเหล่านี้ไม่ได้แค่ซื้อทางผ่าน แต่ซื้อ “ความเงียบ” และ “การคุ้มครอง” ทำให้การเข้ากวาดล้างของเจ้าหน้าที่น้ำดีทำได้ยากลำบาก เพราะข่าวรั่วล่วงหน้าเสมอหรือไม่สมการลงตัว...เมื่อเงินจากธุรกิจสแกมเมอร์มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท พลังอำนาจของมันจึงสามารถแทรกซึมเข้าไปในกลไกของรัฐบางส่วนบางกลุ่ม? ได้อย่างน่ากลัวหรือเปล่า ที่สำคัญ...วงจรคอร์รัปชันนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ชายแดน แต่ลามเข้ามาถึงการฟอกเงินผ่านอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสีเทาในหัวเมืองใหญ่“ตราบใดที่เงินบาปจากคอลเซ็นเตอร์ยังสามารถเปลี่ยนเป็นยศตำแหน่ง หรือความร่ำรวยของเจ้าหน้าที่บางคนบางกลุ่มได้ การจะถอนรากถอนโคนขบวนการนี้ก็เป็นเพียงแค่ละครตบตาประชาชน (รอแสงสว่างปลายอุโมงค์จริงๆ) หรือไม่?”...ยังคงเป็นคำถามในใจผู้เสียหายที่ถูกหลอกหมดตัวจากแก๊งสแกมเมอร์การแก้ปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การไล่จับคนโทรศัพท์หลอกลวง แต่มันคือการ “ทำสงครามกับโครงสร้างคอร์รัปชัน”...ตัดท่อน้ำเลี้ยง บล็อกสัญญาณอินเตอร์เน็ตและไฟฟ้าที่ลักลอบส่งข้ามแดนอย่างจริงจัง...ที่สำคัญต้องกวาดบ้านตัวเอง ปราบปรามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดพร้อมๆกับสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค กดดันรัฐบาลเพื่อนบ้านไม่ให้ใช้พื้นที่ชายแดนเป็น “Safe Haven” ที่หลบภัย...หรือสวรรค์ของอาชญากร ภาสกร จำลองราช “สำนักข่าวชายขอบ” เว็บไซต์ www.transbordernews.in.th เปิดประเด็นตั้งข้อสังเกตกรณีข่าวจากศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วระบุไว้ในโปรยว่า...“สิ้นชื่อ KK Park–ชเวก๊กโก! 3 ชาติผนึกกำลังทลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทุบตึกทิ้งราบคาบ เตรียมหิ้วตัวกลับจีนลอตใหญ่” นอกจากนี้ยังเกริ่นนำด้วยว่า...ปฏิบัติการกวาดล้างครั้งประวัติศาสตร์! ไทย-จีน-เมียนมาจับมือลุยพื้นที่สีเทาชายแดน ทุบทำลายตึกบัญชาการแก๊งสแกมเมอร์ในตำนานอย่าง “KK Park” และ “ชเวก๊กโก” จนราบเป็นหน้ากลอง...เป็นการสื่อสารเกินจริงและอาจทำให้สังคมเข้าใจผิด?การระเบิดอาคารเกิดขึ้นเฉพาะโซน A ขณะที่โซน B, C ยังดำรงอยู่ตามปกติ...แหล่งสแกมในเครือรอบเคเค ปาร์ค เช่น ซูนดา ปาร์ค ยังเป็นฐานสำคัญ...ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นการสร้างภาพเชิงการเมือง? มากกว่าการขุดรากถอนโคน...บอสอาชญากรข้ามชาติยังปลอดภัย และได้ย้ายฐานไปพื้นที่ใหม่แล้ว กองกำลังติดอาวุธบางส่วนยังคงให้การคุ้มกันขบวนการสแกมเมอร์...ไทยยังถูกใช้เป็นระเบียงอาชญากรรมทั้งด้านคน เงิน โลจิสติกส์?...หากไม่ปรับทิศทาง น่ากังวลว่าการทำงานแบบ “ตาบอดคลำช้าง” เสี่ยงทำให้ “ไทย” ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของ...ระเบียงอาชญากรรมข้ามชาติ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม