การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาในครั้งนี้รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี “ครอบคลุม 6 จังหวัดตลอดแนวชายแดน” ก่อนลุกลามไปสู่มิติทางทะเลสะท้อนถึงความขัดแย้งยกระดับเต็มรูปแบบทั้งทางบก อากาศ และน้ำ สร้างความตื่นตัว และความกังวลให้กับประชาคมโลกทั้งในภูมิภาค และเวทีนานาชาติแม้เหตุการณ์สู้รบกันจะรุนแรง “แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นสงคราม” โดยไทยมีจุดยืนปกป้องอธิปไตย และฝ่ายกัมพูชายังคงใช้กลยุทธ์กล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเรียกร้องให้นานาชาติเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยนี้ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มองว่าสถานการณ์การสู้รบนี้ “ยังไม่ถึงขั้นเป็นสงครามเต็มรูปแบบ” แต่ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ในอนาคต เพราะธรรมชาติของสงครามหากอีกฝ่ายยังไม่สูญเสียอะไรอย่างหนักก็มีแนวโน้มจะไม่หยุดยั่วยุ ดังนั้นการยับยั้งสงครามให้ได้ผล “ต้องทำให้อีกฝ่ายสูญเสียขีดความสามารถทางทหาร” เพราะไม่มีทางเลือกอื่นจะยุติได้เลยหากดูขีดความสามารถทางทหารกัมพูชาจากการสู้รบถึงวันนี้ “ลดลงทั้งอาวุธ คลังแสง และกาสิโนถูกโจมตีจนเสียรายได้หลัก” เมื่อพิจารณาด้านเศรษฐกิจ และประชากรก็มีขนาดเล็ก ยิ่งเพิ่มแรงกดดันการรบ แต่เหตุที่ยังเดินหน้าสู้มาจากความบ้าบิ่นของฮุน เซน ที่มีอีโก้ อารมณ์แปรปรวน จนปฏิบัติการทางทหารบางช่วงรุนแรงเมื่อเป็นเช่นนี้ “แม้ไทยจะสามารถยับยั้งการสู้รบกับฝ่ายกัมพูชาได้” แต่ในอีก 10-15 ปีข้างหน้าก็ไม่ควรประมาท ต้องคงกำลังควบคุมพื้นที่พัฒนาแสนยานุภาพและจัดหาอาวุธสมัยใหม่ให้แข็งแกร่งน่าเกรงขามเพื่อรักษาความได้เปรียบถ่วงดุลอำนาจให้ฝ่ายตรงข้ามตระหนักว่าการจะโจมตีไทยอีกอาจต้องถูกตอบโต้ขนาดใหญ่รุนแรง เพราะหากกัมพูชาเห็นว่า “ไทยอ่อนกำลังทางทหารลงก็อาจกลับมาโจมตีอีก” ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือการเสริมความแข็งแกร่งตนเองเพื่อให้เพื่อนบ้านเกรงใจโดยไม่จำเป็นต้องรบกันอย่าง “เวียดนาม” ที่แม้มีปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาก็ไม่เคยถูกยั่วยุ เพราะมีท่าทีแข็งกร้าวตอบโต้ทันทีโดยไม่เปิดช่องให้เจรจาหรือเตือนล่วงหน้าขณะที่ไทยกลับเน้นความรอบคอบตามขั้นตอน “ปล่อยให้รุกล้ำเขตแดนสะสม” ทำให้การตอบโต้ต้องมีต้นทุน และความสูญเสียเกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นไทยต้องปรับทางยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงชายแดนใหม่ เพื่อให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะการป้องกันแต่เนิ่นๆย่อมลดความสูญเสียได้ดีกว่าการใช้กำลังทวงคืนภายหลังแต่ที่ผ่านมาไทยปล่อยปละ “จนเปิดช่องให้มีการรุกล้ำเขตแดน” บางจุดลึกเกินเส้นอ้างสิทธิ์ของกัมพูชาเอง การแก้ไขจึงต้องจัดสรรงบตั้งกำลังประจำฐานถาวร และบูรณาการความร่วมมือระหว่างกองทัพกับกรมอุทยานฯ เพื่อตั้งฐานดูแลความมั่นคงในพื้นที่ป่าสงวน มิฉะนั้นจะเปิดช่องให้กัมพูชารุกล้ำ ตัดไม้ และตั้งฐานได้ง่าย “ความจริงแล้วไทยยึดแนวทางสันติมาตลอด แต่ในสายตากัมพูชากลับมองความเงียบ การปล่อยปละละเลยคือความอ่อนแอ จึงกล้าท้าทายรุกล้ำนำมาสู่การพัฒนาเป็นการสู้รบกัน ถ้าไทยแสดงแสนยานุภาพมากขึ้นย่อมมีผลเชิงบวกทางภาพลักษณ์ กองทัพไทยก็จะเป็นที่ยำเกรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย” รศ.ดร.ดุลยภาค ว่าตอกย้ำว่า “ไทยต้องมองไกลไปถึงอนาคต” หากสามารถรับมือและยุติศึกกับกัมพูชาได้อย่างเด็ดขาดก็จะเป็นสัญญาณเตือนให้ฝ่ายตรงข้ามในแนวรบอื่นๆ ต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะยั่วยุหรือใช้กำลังกับไทย ดังนั้นการทำสงครามไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า “แต่เป็นการปกป้องอธิปไตย และรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิของประเทศ” ทำให้ประเทศอื่นลังเลที่จะรุกรานจากการรับรู้ว่าไทยเป็นรัฐที่มีแสนยานุภาพ และพร้อมป้องกันตนเองสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “บางครั้งความขัดแย้งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” หากการปฏิบัติการมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์อยู่ในกรอบการป้องกันประเทศก็จะช่วยยกระดับสมรรถนะทางทหารไทยให้แข็งแกร่งขึ้นได้ จนทำให้ประเทศเพื่อนบ้านเกิดความเกรงใจ และลดโอกาสของการยั่วยุ หรือคุกคามในอนาคตด้วยซ้ำ แน่นอนว่า “กัมพูชาจะต้องยื่นเรื่องต่ออาเซียนและยูเอ็น” แต่คราวนี้ไทยตั้งรับได้ดีโดยผู้แทนถาวรประจำยูเอ็นได้ยื่นหนังสือชี้แจงแล้วว่า “กัมพูชาละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 2 วรรค 4” จากการใช้อาวุธหนักรุกรานก่อนและไทยใช้สิทธิป้องกันตนเองตาม ม.51 แล้วหากมีการสื่อสารเชิงรุกด้านการทูตและสงครามข้อมูลต่อเนื่องย่อมทำให้ “ไทยรับมือเกมกัมพูชาในเวทีโลกดีขึ้น” เพราะประเทศเล็กใช้การยั่วยุ หรือความรุนแรง เพื่อผลประโยชน์ตนเองในการยิงจรวดมหาศาลใส่ประเทศอื่นอย่างบ้าคลั่ง “ถือเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ” ซึ่งไทยต้องสื่อสารเชิงรุกในประเด็นที่สังคมโลกให้ความสำคัญอย่างเช่นการยกข้อกล่าวหาเชิงโครงสร้างต่อกัมพูชาไม่ว่าจะเป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และการละเมิดจริยธรรมระหว่างประเทศ พร้อมอธิบายเหตุผลทางกฎหมาย และยืนยันว่าการ กระทำของไทยอยู่ในกรอบการป้องกันตนเองไม่ใช่การรุกรานประเทศอื่นถัดมาคือ “เดินเกมการทูตเชิงรุกแบบสามขาสามแทร็ก” เพื่อแก้จุดอ่อนในเวทีโลก คือ ขาแรก...“เวทียูเอ็น” เร่งประสาน ประเทศสำคัญโดยเฉพาะสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง เช่น สหรัฐฯ จีน รัสเซีย และชาติผู้มีอิทธิพลอื่น เพื่ออธิบายจุดยืนของไทยอย่างเป็นระบบว่าเป็นการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศขาที่ 2...กรอบอนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาเจนีวา และออตตาวา ควรเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงให้รัฐภาคีรับรู้มากขึ้น เพื่อย้ำว่าการกระทำของกัมพูชาขัดต่อหลักมนุษยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศขาที่ 3...เวทีอาเซียน ควรรับไมตรีจากมาเลเซีย และดึงประเทศอื่นมาถ่วงดุลอย่างฟิลิปปินส์ที่กำลังจะเป็นประธานอาเซียน รวมถึงเวียดนามที่มีความเข้าใจบริบทอินโดจีนสามารถกดดันกัมพูชาในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ได้ นอกจากนี้ต้องเดินเกมการทูตแบบรอบด้านรับไมตรีจากสหรัฐฯ และมองว่าฝ่ายนั้นมีความปรารถนาดีต่อไทย ขณะเดียวกันก็ต้องหาลู่ทางดึง “จีน และรัสเซีย” เข้ามามีบทบาทให้สหรัฐฯเห็นว่าไทยไม่ได้ไร้มิตรหรือยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเวทีโลก แนวทางนี้เป็นสิ่งที่กัมพูชากำลังทำอยู่เช่นกัน ดังนั้นไทยก็จำเป็นต้องทำโดยใช้การทูตทั้งแบบเปิดเผย และแบบเงียบควบคู่กันไปผสมผสานระหว่างการทูตสาธารณะเพื่อสื่อสารต่อสาธารณชนโลกย้ำว่าหากไทยเปิดเกมรุกพร้อมกันทั้งด้านการทูต การสื่อสารข้อมูล และการเสริมกำลังทางทหารจะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในประชาคมระหว่างประเทศ และการดำเนินกลยุทธ์แบบบูรณาการนี้ไม่เพียงสร้างความมั่นคงและภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง แต่ยังทำให้รับมือกับเกมการทูตของกัมพูชาได้ดียิ่งขึ้น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม