การแข่งขันกีฬา “ซีเกมส์ครั้งที่ 33” ผ่านไปกว่าครึ่งทางแล้ว...เหลืออีกเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น (20 ธันวาคม) ก็จะปิดฉากรูดม่านลง...แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบสำหรับ “พิธีเปิด” เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมยังคงมีมาอยู่เรื่อยๆคะแนนเฉลี่ยที่ให้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ดูเหมือนจะอยู่ที่ 5 ใน 10 หรือ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าเป็นนักเรียนมัธยมยุคเก่าถือว่าสอบได้แบบ “คาบเส้น” พอดี แต่ถ้าเทียบกับระดับปริญญาตรี ซึ่งต้องได้ 6/10 หรือ 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปนั้นก็ถือว่า “สอบตก”ตกอย่างไร? ท่านผู้อ่านคงได้อ่านกันแล้ว...ขออนุญาตไม่นำมากล่าวซ้ำอีก...และวันนี้ที่หยิบเรื่องนี้มาเขียนอีกครั้งก็ตามประสาคนมองโลกในแง่ดี...พยายามจะหยิบยกสิ่งดีๆหรือเรื่องดีๆของซีเกมส์ 33 มากล่าวถึงบ้างเท่านั้นเองเรื่องราวดีๆที่มีการกล่าวขวัญกันมากจากพิธีเปิดกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ก็คือ ผลงานของพิธีกร “คู่ขวัญ” กรกันต์ “อาร์ม” สุทธิโกเศศ และ ณัชชานันท์ “นุ่น” เลียงอรุณวงศ์ นั่นเอง...กล่าวได้ว่าทั้ง 2 คือตัวชูโรงที่ฉุดให้พิธีเปิดซีเกมส์ ที่มีเสียงวิจารณ์ว่ากร่อยที่สุดเท่าที่ไทยเคยจัดมาให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่งที่ต้องใช้คำวิธี “พิธีกรคู่ขวัญ” เพราะทั้งคู่เป็นศิษย์เก่าของ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ที่เคยรับหน้าที่พิธีกรคู่กันมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นนิสิตจุฬาฯโน่นแล้วอาร์ม กรกันต์ เพิ่งจะลงจากเวที “คุณพระช่วยสำแดงสด” ที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ธ.ค. แล้วก็มาขึ้นเป็นพิธีกรซีเกมส์ในคืนวันที่ 9 ธ.ค.เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือ “เพชร” ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งของวงการบันเทิงบ้านเราแฟนๆหลายท่านคงจำได้จากบท “นายศร” นักระนาดเอกในละครเวทีเรื่อง “โหมโรง” ของเวิร์คพอยท์ ที่เขามิใช่แสดงเก่งอย่างเดียว...ยัง “ตีระนาด” ได้เก่งราวกับมือระนาดอาชีพอีกด้วยเขาให้สัมภาษณ์ว่าเขาพอมีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว แต่เมื่อรับบทพระเอกเรื่องนี้จึงตัดสินใจมุ่งมั่นซ้อมระนาดอย่างหนัก จนสามารถตีระนาดได้เองโดยไม่ต้องใช้เสียงบันทึกประกอบเลยภาษาอังกฤษก็เช่นกัน...อาร์ม ไม่เคยมีประวัติว่าไปเรียนนอกอย่างจริงจัง เพียงแค่จบจากโรงเรียนมัธยมที่มีครูเป็นฝรั่งอย่างโรงเรียน เซนต์ดอมินิก เท่านั้น...การที่เขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วด้วยสำเนียงที่เหมือนคนเคยไปอยู่เมืองนอกหลายๆปีเช่นนี้มาจากการฝึกปรือทุ่มเทเอาใจใส่ในภาษาอังกฤษอย่างจริงจังนั่นเองเช่นเดียวกับ “น้องนุ่น” ณัชชานันท์ เลียงอรุณวงศ์ ที่เป็นเจ้าของเพจสอนภาษาอังกฤษ English AfterNoonz ที่มีผู้ติดตามเป็นล้าน...ที่อาจหาญเปิดเพจสอนภาษาโดยไม่เคยไปเรียนนอกมาก่อนเช่นกันเส้นทางการเรียนภาษาของเธอเริ่มมาจากพ่อ (เขาว่าเป็นอดีตทหารหน่วยซีลของกองทัพเรือด้วยนะ) ที่ต่อมาลาออกมาทำงานอิสระ ต้องติดต่อประสานงานกับองค์การระหว่างประเทศหลายๆองค์การ...ชวนเธอพูดภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ...ทำให้เธอคุ้นกับภาษาอังกฤษและสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถมศึกษาแรกๆก็ฝึกใช้ภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงอเมริกัน แต่มาในช่วงหลังหันมาชื่นชอบสำเนียงแบบอังกฤษ จึงหันมาทุ่มเทฝึกพูดด้วยสำเนียงอังกฤษจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวมาถึงทุกวันนี้เรื่องจริงจากชีวิตจริงของ 2 พิธีกรคู่นี้ จึงพิสูจน์ให้เห็นว่า “ภาษาอังกฤษ” ไม่ใช่เรื่องยาก หากเราจะ “เอาจริง”คนไทยเราได้ชื่อว่า อ่อนภาษาอังกฤษมาก และยังอ่อนอยู่จนถึงวันนี้--แต่อย่าลืมว่าถ้าอยากจะให้ประเทศของเราก้าวเดินไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูงเต็มตัวในวันข้างหน้า เราจะต้องไม่กลัวภาษาอังกฤษและจะต้องเก่งภาษาอังกฤษขอฝากเรื่องราวของพิธีกรคู่นี้ไว้เป็นแบบอย่างของสังคมไทยและลูกๆหลานๆชาวไทยรุ่นใหม่ด้วยนะครับ––ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ของเราก็จริง แต่เราอย่าไปกลัวหรือขยาด...ใจสู้ซะอย่าง เรียนได้สบายๆครับลูก!"ซูม"คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม