มหาอุทกภัยภาคใต้โดยเฉพาะที่ “อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา” ที่เกิดจากปรากฏการณ์ Rain Bomb ทิ้งปริมาณน้ำฝนมากที่สุดในรอบสามศตวรรษลงมาบนเมืองที่เป็นแอ่งกระทะกลายเป็นอ่างรองรับน้ำชั่วข้ามคืน “ประชาชนหลายชีวิตต้องหนีตายขึ้นหลังคาบ้าน” เพื่อรอความช่วยเหลือที่ยากลำบากกันหลายวันแม้ตอนนี้ฝนหยุดตก “ระดับน้ำลดลงบางจุดแห้งสนิท” แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเผยให้เห็นความเสียหายราวกับเมืองถูกกวาดล้าง พื้นถนน อาคาร ร้านค้า บ้านเรือนจำนวนมากพังราบจนยากจะเชื่อว่านี่คือ “เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้” ประชาชนบางส่วนต่างพากันวิ่งขออาหารและน้ำดื่มที่ต้องทนอดอาหารกันมาหลายวันทว่าเบื้องหลังความโกลาหลครั้งนี้ “สะท้อนปัญหาเชิงระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ” จนไม่ใช่เพียงภัยธรรมชาติแต่เป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของโครงสร้างการจัดการน้ำ และบทบาทรัฐในการปกป้องเมืองเศรษฐกิจสำคัญภาคใต้นี้ ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย มองว่าถ้าย้อนดูช่วงที่ผ่านมา “ภาคใต้มีฝนตกหนักจากอากาศแปรปรวน” โดยมวลความกดอากาศสูงจากแผ่นดินใหญ่แผ่ลงมาปกคลุม กดทับร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านจากภาคกลางลงสู่ภาคใต้ ทั้งยังมีลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดแรงเข้ามา และช่วงนี้ก็ยังอยู่ในภาวะลานีญาส่งผลให้มีความชื้นสูงมากจนเกิดฝนตกหนัก ลักษณะแบบแช่นานกินพื้นที่กว้างที่เรียกว่า “Rain Bomb” ทำให้ปริมาณฝนมากใน 10 จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 19-22 พ.ย.2568 รวมสะสม 3 วัน ได้ถึง 595 มม. มากกว่าปี 2543 ปี 2553 สูงสุดอยู่ที่ 515 มม.ขณะที่บริเวณเขาคอหงส์ในวันที่ 22 พ.ย. ฝนตกก็หนักถึง 365 มม. ส่งผลให้มวลน้ำทุกสายไหลลงสู่คลองอู่ตะเภาล้นท่วมเมืองหาดใหญ่ด้วยภูมิประเทศ “เป็นแอ่งกระทะลาดเอียงสู่ทะเลสาบสงขลา” มีคลองอู่ตะเภาเป็นคลองสายหลักยาว 116 กม. มาจาก อ.สะเดา ผ่าน อ.หาดใหญ่ และคลอง ร.1 รับน้ำมาจากคลองอู่ตะเภาไหลจากทิศใต้ขึ้นไปทิศเหนือลงสู่ทะเลสาบสงขลา ส่วนน้ำจากเขาคอหงส์และ อ.จะนะก็ไหลลงสู่คลองหวะทิศตะวันออกต่อลงสู่คลองอู่ตะเภาเช่นกันทั้งยังมีน้ำจากเทือกเขานครศรีธรรมราชไหลลงคลองอู่ตะเภาผ่านพื้นที่ราบต่ำ อ.หาดใหญ่ ก่อนลงทะเลสาบสงขลา ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามวลน้ำจากทุกทิศไหลลงสู่คลองอู่ตะเภาไหลผ่าน อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบต่ำก่อนลงทะเลสาบสงขลา เมื่อมีทั้งฝนตกหนักต่อเนื่องก็ทำให้น้ำสะสมนำไปสู่ปัญหาน้ำท่วมดังกล่าวนี้ “ปีนี้ฝนตกหนักที่สุดในรอบ 300 ปี และระดับน้ำท่วมใหญ่รุนแรงสุดในรอบ 25 ปี แต่สิ่งสำคัญคือระบบการบริหารจัดการน้ำทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร แม้แต่การพยากรณ์อากาศก็เป็นลักษณะกว้างๆในหลายพื้นที่จะมีฝนตกหนัก แต่ไม่ได้ระบุตำแหน่ง หรือความเสี่ยงแบบเจาะจงจนการบริหารจัดการในพื้นที่ขาดความพร้อม” ดร.สนธิ ว่าเช่นนี้เมื่อการพยากรณ์อากาศ “ไม่สามารถระบุจุดพื้นที่เสี่ยง” ย่อมส่งผลให้การบริหารจัดการในพื้นที่ขาดความพร้อม ไม่มีการสั่งการแจ้งเตือนล่วงหน้ากับหน่วยงานต่างๆ ในการเตรียมแผนรับมือได้ทันเวลาไม่ว่าจะเป็นแผนเตรียมการ แผนสื่อสาร แผนเผชิญเหตุ และแผนการอพยพคน ทำให้ไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจน เพราะหลายฝ่ายคาดไม่ถึง “ฝน Rain Bomb จะตกต่อเนื่อง 6 วัน” เพราะคิดแค่สถานการณ์น่าจะเหมือนปีก่อนๆ ขณะที่ผู้ว่าฯ ดูแลกำกับการป้องกันภัย และบรรเทาสาธารณภัยจริง “แต่การอนุมัติงบช่วยเหลือทำได้เมื่อเกิดภัยพิบัติแล้ว” จึงจะดึงงบออกมาช่วยได้กลายเป็นขัดกับแนวทางปฏิบัติที่ควรเตรียมพร้อมก่อนเกิดเหตุโดยรัฐบาลกลางต้องส่งข้อมูลคำเตือนล่วงหน้า “สื่อสารความเสี่ยงในพื้นที่ที่จะเผชิญสถานการณ์” แต่ว่ากรณีคราวนี้กลับมีการประสานล่าช้า “การเตรียมการรับมือก็ไม่ทัน” ทำให้ผู้ว่าฯต้องประกาศอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 100% หลังน้ำท่วมแล้ว 5 วันนับแต่เมื่อมีการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติอย่างเป็นทางการปัญหาอีกประการคือ “ระบบเตือนภัย” แม้หลายจังหวัดจะมีแผนรับมือ แต่การพยากรณ์อากาศไม่แม่นยำ ให้ข้อมูลเพียงว่า “จะมีฝนตกหนัก” โดยไม่ระบุปริมาณฝน หรือพื้นที่เสี่ยง จึงไม่ชัดเจนว่าฝนตกหนักเพียงใดเมื่อข้อมูลไม่ชัด “จังหวัดตั้งอยู่ภูมิภาคย่อมไม่รู้ล่วงหน้า” ต้องรอแจ้งเตือนจากส่วนกลางอย่างเช่น สทนช. ที่ควรลงพื้นที่ตั้งแต่เริ่มมีแนวโน้มฝนจะตกหนัก เพื่อวางแผนรับมือให้ทันเวลาด้วยซ้ำส่วนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า “ผู้ว่าฯย้ายมารับตำแหน่งใหม่นั้น” เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอนเพราะเมื่อผู้ว่าฯถูกย้ายมาหลายพื้นที่พร้อมกัน ทำให้หลายจังหวัดยังไม่ได้ปรับตัวหรือไม่อาจสร้างกระบวนการทำงานร่วมกันให้เข้าที่ได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักแบบ Rain Bomb ก็ทำให้การรับมือสะดุดจัดการได้ไม่ทันการณ์ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ “หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้” มีความเปราะบางด้านผังเมืองหนาแน่น และพื้นที่รับน้ำมีน้อย ส่งผลให้น้ำหลากระบายยากจนเกิดความเสียหายราวหมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าสถานการณ์นี้น่าจะคลี่คลาย 7-10 วัน และอาจต้องใช้เวลาครึ่งเดือนน้ำจึงแห้งสนิทหากไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มประการถัดมาเรื่องโครงสร้างการป้องกันน้ำท่วมหาดใหญ่ “ต้องยอมรับว่าล้มเหลว” เพราะที่ผ่านมาเมืองมักวางแผนออกแบบระบบระบายน้ำอ้างอิงเหตุการณ์ในอดีต เช่น ปี 2543 ปี 2553 แต่ว่าปี 2568 ฝนตกหนักมากกว่าที่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นอนาคตต้องคำนวณ และออกแบบใหม่ หากฝนตกหนักแบบนี้ต้องมีระบายน้ำอย่างไรแม้ปัจจัยสภาพอากาศควบคุมไม่ได้ “สิ่งที่ควรปรับปรุงได้คือการบริหารจัดการของคน” ครั้งนี้ปัญหาหลักมาจากการไม่มีผู้รับผิดชอบในการสั่งการในพื้นที่ชัดเจน “จนการสั่งการก็ล่าช้าเกินไป” อีกทั้งการพยากรณ์ก็ยังไม่แม่นยำจนทำให้การเตรียมความพร้อมไม่ทันอย่างที่เห็น แล้วในส่วน “ผู้ว่าฯ” ก็สั่งการหน่วยงานได้ก็ต่อเมื่อประกาศเขตภัยพิบัติแล้ว แต่ว่าในช่วงก่อนเกิดเหตุยังไม่มีอำนาจเต็มที่จะสั่งการได้ครอบคลุมทุกหน่วยงาน จึงต้องพึ่งพาส่วนกลางส่งทีมลงพื้นที่ประสานงานเตรียมรับมือในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติในปัจจุบันจึงเสนอให้อำนาจแก่ “ผู้ว่าฯสั่งการได้ก่อนเกิดภัยพิบัติ” ครอบคลุมการเตือนภัย ป้องกันและเตรียมอพยพ โดยไม่ต้องแก้กฎหมายใช้อำนาจนายกฯสั่งให้เริ่มปฏิบัติได้เลยเมื่อมีสัญญาณเสี่ยงไม่ต้องรอน้ำท่วมก่อนฉะนั้นน้ำท่วมหาดใหญ่เมืองเศรษฐกิจปีนี้ “ไม่สามารถปล่อยให้เกิดปัญหาซ้ำได้” จำเป็นต้องจัดการและออกแบบระบบทั้งหมดใหม่ “ป้องกันน้ำท่วม” คงต้องเป็นการบ้านสำหรับผู้ที่รับผิดชอบต้องเพิ่มความสามารถในการรองรับ และการระบายน้ำให้มากกว่าที่เป็นอยู่...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม