บาดแผลฝังลึกที่ข้อมือของ “เมย์” หญิงสาววัย 22 ปี คือสิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดทรมาน หลังถูกหลอกเข้าสู่ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดนหลอกพาข้ามโขงไปเปิดบัญชีม้า ตามแผนของแก๊งสแกมเมอร์ ขณะที่ “SEE TRUE” ทีมข่าวสืบสวนสอบสวน ไทยรัฐทีวี ลงพื้นที่แกะรอยการขยายฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หนีการปราบปรามจากพม่า... กัมพูชาข้ามมาฝั่งลาวได้เบาะแสเปลี่ยนเส้นทางมุ่งสู่ภาคเหนือของไทยใช้เป็นทางผ่านเข้าไปยัง สปป.ลาวฝั่งคิงส์โรมัน เพื่อสร้างฐานบัญชาการใหม่รอบนี้...เน้นเป้าหมายไปกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนในจังหวัดเชียงรายหลังโดนหลอกและข้ามกลับมาได้ “เมย์” ติดต่อขอความช่วยเหลือในเพจเฟซบุ๊กคุณสุรชาติ ผาแกง อาสาสมัครมูลนิธิ IMF ช่วยเหลือคนไทยในต่างแดน เธอเล่าความทุกข์ทรมานร้องไห้ฟูมฟายบอกจะฆ่าตัวตายทีมข่าวขับรถไปหาเมย์ที่บ้านพักในเชียงราย ภาพแรกที่เห็นคือสภาพหญิงสาวผู้อิดโรย แววตาดูเศร้าหมอง เสียงร้องไห้ของเมย์ เมื่อเห็นหน้าทีมงานกลายเป็นคำทักทายต้อนรับเพราะที่ผ่านมาเธอคิดมาตลอดว่า....“ปัญหาที่เธอเจอคงไร้ทางออก ชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว”เธอเล่าย้อนเหตุการณ์ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะทำงานอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เธอถูกชักชวนจากเพื่อนผู้หญิงที่ทำงานอยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ออกอุบายชักชวนเธอไปทำงานที่ร้านคาราโอเกะ ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เป็นงานร้านคาราโอเกะ อ้างว่ารายได้ดีทิปเยอะ เพราะไว้ใจเพื่อนคนนี้ เธอจึงตัดสินใจไปทำงานด้วย ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า เครื่องสำอางที่ต้องใช้ในงานร้านคาราโอเกะ เธอตระเตรียมอย่างเสร็จสรรพ หวังได้งานหาเงินส่งตัวเองเรียนหนังสือในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเรียนจบสัญญาที่เพื่อนรับปากไว้ คือข้ามไปทำงาน 2 คืน 3 วัน จากนั้นจะหอบเงินกลับมาเป็นค่าเทอม ค่าหอพัก แต่ฝันก็ต้องสลายเพราะหลังข้ามไปถึงฝั่งลาวทุกอย่างกลับตาลปัตร พอไปถึง ตม.ไทย เธอได้ทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวและได้ข้ามฝั่งไปประเทศลาวตามขั้นตอนถูกต้อง แต่เมื่อเหยียบแผ่นดินลาว มีรถที่อ้างว่าเป็นรถแท็กซี่มารับเธอ แต่ภาพที่เห็นคือรถกระบะสีขาว พาไปส่งยังที่พักมีลักษณะเป็นห้องแถวอยู่หลังโรงพยาบาลต้นผึ้งในคืนแรกที่ไปถึงเธอแต่งหน้าทำผมแต่งตัวพร้อมไปทำงานแต่เพื่อนผู้หญิงที่ไปด้วยกลับไม่สนใจ ไม่พูดถึงเรื่องการทำงานร้านคาราโอเกะกับเธออีก ท้ายที่สุดเธอถูกยึดโทรศัพท์มือถือและเอกสารทุกอย่าง สลับกับการสแกนใบหน้า โดนกักขังไว้ในห้องแคบๆ ที่มีชายฉกรรจ์เฝ้าอยู่ตลอดเวลาตลอดระยะเวลา 3 วัน เธอพยายามหลบหนีออกมา แต่ทำไม่ได้เพราะไม่รู้เส้นทาง อีกทั้งยังโดนข่มขู่ว่าจะเอาไปขายต่อ เธอจึงร้องไห้อ้อนวอนประกอบกับห้วงนั้นบัญชีถูกอายัดทำอะไรไม่ได้ กลุ่มคนร้ายจึงยอมปล่อยเธอกลับฝั่งไทย และเมื่อข้ามกลับมาได้ปรากฏมีเงินโอนเข้าบัญชี 3 ล้าน จึงไปแจ้งความที่ สภ.เชียงแสนแต่ตำรวจไม่รับแจ้ง เพราะคงเข้าใจว่าสมัครใจไปเปิด “บัญชีม้า” ซึ่งนี่คืออีกหนึ่งกลอุบายในการลวงเหยื่อเข้าสู่ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เธอยอมรับว่าตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ต้องใช้ยารักษาอาการ เพื่อปิดบังความหม่นหมองในใจ หลายครั้งที่เธอคิดฆ่าตัวตาย เพราะมองไปทางไหนทุกอย่างก็ดูมืดบอด“ย่าหนู พี่หนูเขาก็เป็นห่วงที่หนูไปทำ ไม่มีใครได้กินดีนอนหลับเพราะทุกคนกลัวหมายศาล หนูเรียนมาถึงขนาดนี้ ทุกคนเป็นห่วงสภาพจิตใจหนู หนูยอมรับว่าเคยคิดฆ่าตัวตายเพราะเรื่องนี้ หนูนอนอยู่ที่หอ หนูลำบากมาก เรื่องการโอนเงิน หนูไม่รู้จะพูดกับใคร หนูเขียนจดหมายไว้ หนูคิดอยากผูกคอตาย ถ้าหนูผูกที่ราวด้านหลังหอจะเดือดร้อนอีก แต่สุดท้ายหนูก็ไม่กล้าทำ เพราะไม่รู้จะทำที่ไหนไม่ให้คนเดือดร้อน ถ้าผูกคอตาย หนูก็โดนด่า ถ้าหนูตายจะไม่มีใครรู้เลยว่าหนูโดนหลอก เดี๋ยวเขาจะคิดว่าหนูไปแอบทำ...” (ร้องไห้) SEE TRUE ให้เมย์ลองวาดแผนที่พิกัดแก๊งนี้ในฝั่งลาว เธอบอกจำได้แม่นยำว่าโดนจับขังในห้องเล็กใกล้โรงพยาบาลฝั่งนั้น หลังได้ข้อมูลและพิกัดเราจึงนัดหมายให้สายข่าวในฝั่งลาวเดินทางมาพบที่ฝั่งตรงข้าม อ.เชียงแสน เพื่อนัดแนะวางแผนบอกพิกัดเข้าไปสำรวจภายในจุดกักขัง รังของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างไรก็ตาม สายข่าวฝั่งลาวขับรถลัดเลาะไปตามเส้นทางตามแผนที่ที่เมย์เขียนและอธิบายในกระดาษ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจสายของเราก็เข้าไปถึงยังพื้นที่เป้าหมายพิกัดนั้นตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาลตามแผนที่ สภาพเป็นถนนดิน มีห้องแถวเล็กๆ มีท้องนา วัวควาย ซึ่งจุดนี้นี่เองที่เมย์ยืนยันว่าใช่จุดที่โดนกักขังและย้ำว่าในนั้นมีวัยรุ่นคนไทยรวมอยู่ด้วยจำนวนมาก ทั้งคนที่สมัครใจ เพราะเห็นใช้ชีวิตได้ตามปกติ และคนที่โดนหลอก ซึ่งคนพวกนี้จะถูกกักขังในห้องแบบเดียวกับเธอเมย์ ได้รับการช่วยเหลือจากทีมงาน พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร. และเข้าให้ปากคำกับตำรวจจังหวัดเชียงราย ก่อนเตรียมเข้าสู่ขบวนการคัดกรองเข้าข่ายเหยื่อค้ามนุษย์ เพื่อขยายผลจับกุมขบวนการที่เหลือ รวมทั้งกลุ่มนายหน้าจัดหาบัญชีม้าในฝั่งไทย นั่นแสดงว่าขบวนการนี้กำลังอาละวาด...และเร่งทำยอดในภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย มือเป็นระวิงSEE TRUE เดินทางไปพบกับนางสาวเอ๋ เหยื่ออีกรายใน อ.เชียงแสน ซึ่งรายนี้ยอมรับว่าสมัครใจเข้าไปเปิดบัญชีม้าในฝั่งลาวและขอรับกรรมรับความผิดในสิ่งที่ทำลงไป แต่เธอติดใจอยู่อย่างเดียว คือนายหน้าชาวพม่าที่จัดหาบัญชีม้าที่ชักชวนเธอ ตอนนี้ยังลอยนวลไม่ถูกจับ แถมยังเดินหน้าหลอกเหยื่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่ง น.ส.เอ๋ เปิดใจยืนยันว่าสาเหตุที่นายหน้าคนนี้ไม่ถูกจับและดำเนินคดี คำถามสำคัญจึงมีว่า...นี่อาจมีการเอื้อประโยชน์กันระหว่างนายหน้ากับตำรวจ สภ.เชียงแสน หรือไม่? หรือว่า...กระบวนการสืบสวนอาจมีช่องโหว่หรืออุปสรรคใดเกิดขึ้นหรือเปล่า?ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพียง “ข้อสงสัย” ที่เกิดขึ้นในสังคม ที่ต้องรอการตรวจสอบอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม