ชุดสำรวจและปักหมุดชั่วคราวไทย-กัมพูชา เดินหน้ารังวัดปักหมุดหลักเขตแดนต่อเนื่องทั้งหมุดที่ 42-43 บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว และหมุดที่ 52-59 อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ขณะที่ ทบ.โต้ข่าวทหารเขมรบุกประชิดชายแดนเตรียมยึดภูมะเขือ-ตาควาย-คนา ระบุเป็นเฟกนิวส์ โดย ทภ.2 แจง 4 จุดเสี่ยงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา “ปราสาทตาควาย-ภูมะเขือ-ช่องอานม้า-ช่องบก” มี “บางส่วน” เป็นข้อมูลจริง ไม่ใช่การระดมกำลังหมื่นนายชุดปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา เดินหน้ารังวัดหมุด GCP ต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ทีมโฆษกกองทัพไทย แถลงสรุปภาพรวมการปฏิบัติงานกองกำลังบูรพา ร่วมกับชุดสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา รวมถึงฝ่ายปกครอง จ.สระแก้ว และ อ.โคกสูง จำนวน 35 นาย เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ได้ปฏิบัติงานร่วมกับฝ่ายกัมพูชาสำรวจและปักหมุดชั่วคราวระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 43 (ช่วงการสำรวจช่วงแรก) ดำเนินการกรุยแนวเพื่อวางจุด GCP ได้ 16 จุด และรังวัดจุด GCP ด้วย GPS ได้ 16 หมุด รวมทั้งบินโดรนถ่ายภาพ เก็บภูมิประเทศปัจจุบัน นำไปจัดทำแผนผังหมุดชั่วคราวประกอบการรายงานผลการสำรวจ ได้ 2 เที่ยวบิน ระยะทาง 1,300 เมตร รวมวัดจุด GCP ได้ 32 หมุด จากทั้งหมด 72 หมุด คิดเป็นร้อยละ 44.44 รวมเที่ยวบินได้ 5 เที่ยวบิน จากทั้งหมด 9 เที่ยวบิน คิดเป็นร้อยละ 55.55 รวมระยะทาง 3.4 กิโลเมตร จากทั้งหมด 7 กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 48.5 สำหรับแผนการปฏิบัติต่อไปในวันที่ 22 พ.ย. ได้นัดพบกับฝ่ายกัมพูชาดำเนินการรังวัดหมุด GCP และบินโดรนถ่ายภาพที่จุดตรวจ 34 บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดย ณ เวลา 14.00 น. รังวัด GPS จุดควบคุม (GCP) เสร็จสิ้นแล้ว 40 จุด บินโดรนเก็บภาพถ่ายทางอากาศ ครอบคลุมระยะทาง 4,500 เมตรอีกด้านหนึ่ง หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี ร่วมกับชุดสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2 หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 2 หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 14 สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา หน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนจันทบุรี และชุดรักษาความปลอดภัย ตำบลเทพนิมิตร รวม 60 นาย ได้ปฏิบัติงานร่วมกับฝ่ายกัมพูชา จำนวน 40 นาย เพื่อสำรวจและปักหมุดชั่วคราวระหว่างหลักเขตแดนที่ 53-54 ได้จำนวน 3 หมุด (TM53-19 ถึง TM53-21) รวมระยะทาง 150 เมตร รวมปักได้ 136 หมุด จากทั้งหมด 166 หมุด คิดเป็นร้อยละ 81.93 รวมระยะทาง 6.8 กิโลเมตร จากทั้งหมด 8.3 กิโลเมตรจากนั้นช่วงบ่าย ชุดสำรวจของทั้งสองฝ่ายได้ ร่วมกันจัดทำรายงานประจำวันเพื่อบันทึกผลการสำรวจและปักหมุดชั่วคราวระหว่างหลักเขตแดนที่ 52-59 โดยพบว่าพื้นที่ปฏิบัติงานส่วนใหญ่เป็นสวนลำไยและสวนทุเรียน ส่งผลให้ต้นไม้ขนาดใหญ่บดบังสัญญาณดาวเทียม GPS อีกทั้งยังมีบางช่วงเป็นป่าหญ้ารกทึบ ทำให้การวัดพิกัดต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบและความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างชุดสำรวจทั้งสองฝ่ายสำหรับแผนการปฏิบัติงานในวันที่ 22 พ.ย.ซึ่งเป็นวันที่สี่ เวลา 09.00 น. ทั้งสองฝ่ายได้นัดพบกันที่หลักเขตแดนที่ 58 เพื่อดำเนินการปักหมุด TM57-39 ถึง TM57-47 ตามแผนที่วางไว้ร่วมกัน การปักหมุดชั่วคราวระหว่างหลักเขตแดนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ “จัดทำเส้นเขตแดนบนพื้นดิน (land boundary demarcation)” ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในการแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ หมุดแต่ละหมุดทำหน้าที่เป็นจุดอ้างอิงเชิงพิกัด (geodetic reference points) เพื่อยืนยันตำแหน่งของเส้นเขตแดนอย่างถูกต้องก่อนนำไปสู่การติดตั้งหลักเขตแดนถาวรในลำดับต่อไป กระบวนการนี้ต้องอาศัยการปฏิบัติร่วมกันอย่างละเอียดระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อให้เส้นเขตแดนมีความชัดเจน โปร่งใส และสามารถใช้ประกอบการบริหารพื้นที่ชายแดนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ อันเป็นประโยชน์ยิ่งต่อการรักษาเสถียรภาพ ความมั่นคงระหว่างไทย-กัมพูชาวันเดียวกัน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “ฝั่งเราเอาไงต่อดีครับ ล่าสุดทหารกัมพูชาขึ้นพิชิตภูมะเขือกว่า 2,000 นาย ปราสาทตาควายกว่า 5,000 นาย ปราสาทคนา อีก 5,000 นาย เต็มพื้นที่หมดแล้ว” โดยยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และตรวจสอบพบว่าต้นทางมาจาก “เพจปลอม” ที่นำภาพและข้อมูลเท็จมาปั่นกระแสในช่วงสถานการณ์ชายแดนตึงเครียด อย่างไรก็ตาม กองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานสถานการณ์จริงใน 4 จุดเสี่ยงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่ามี “บางส่วน” ที่เป็นข้อมูลจริง ไม่ใช่การระดม กำลัง 10,000 นาย ตามที่โซเชียลกล่าวอ้าง ดังนี้บริเวณปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พบว่าทหารกัมพูชาใช้โบราณสถานเป็นบังเกอร์จริง และมีการสร้าง “กระเช้า” ขึ้นเนิน 350 ด้านทิศตะวันตกเพื่อตรึงกำลังและเคลื่อนย้ายสิ่งของ แต่ไม่มีการระดมกำลังจำนวนมากตามข่าวลือ โดยกำลังที่เพิ่มขึ้นในช่วงวันที่ 15-16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นเพียงกำลังทหารประจำพื้นที่ ได้แก่ ทหารประจำจังหวัดรัตนคีรี (ภท.1) ประมาณ 150 นาย ทหารประจำจังหวัดกัมปงธม ประมาณ 90 นาย ทหารกองพันทหารช่างภูมิภาค (พัน.ช. ภท.1) ประมาณ 15 นาย รวมทั้งสิ้น 255 นายส่วนพื้นที่ ภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทภ.2 ยืนยันว่า มีรถถังทิศตะวันตกจำนวน 10 คันจริง และมีการวางทุ่นระเบิดรอบพื้นที่ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลาดตระเวน พื้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นอีกจุดที่มีความเคลื่อนไหวจริง โดยทหารกัมพูชายึดเนิน 677 และมีการวางทุ่นระเบิดรอบพื้นที่เช่นกัน ส่วนช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี พบกำลังทหารกัมพูชาประมาณ 800 นาย และบนเนิน 745 อีกประมาณ 50-60 นาย โดยยังคงตรึงกำลังต่อเนื่องทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ตรวจสอบเพจที่แชร์ข้อมูลดังกล่าว อาทิ ThaiArmy/หน่วยข่าวกรองทหาร ศปก./หน่วยข่าวกรองทหาร ขกท.ทบ./กรมทหารราบที่ 11 ฯลฯ พบว่าทุกเพจไม่ใช่หน่วยงานราชการ และหน่วยทหารที่ระบุชื่อไม่เกี่ยวอะไรกับหน่วยข่าวกรองทางทหาร จึงอยากให้ประชาชนติดตามเพจของกองทัพที่เป็นทางการเท่านั้นต่อมาผู้สื่อข่าวสำรวจบรรยากาศที่ย่านการค้าตลาดชายแดนช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พบพ่อค้าแม่ค้าขายของกินและกับข้าว นำรถ จยย.พ่วงข้างกลับมาขายของเหมือนเดิม หลังจากช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ผู้ค้าบางรายไม่ได้มาขายของ เนื่องจากได้ยินข่าวว่าสถานการณ์ตึงเครียด กัมพูชามีการเสริมกำลังประชิดชายแดนจำนวนมาก ทำให้หวาดระแวงและไม่มั่นใจในความปลอดภัยหวั่นว่าจะเกิดสงคราม แต่เมื่อล่าสุดไม่มีทีท่าว่าจะเกิดสงคราม ผู้ทำมาค้าขายจึงเริ่มกลับมาอีกครั้งในช่วงเย็น และบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่กลัวมากกว่าสงครามคือกลัวอดตาย จึงจำเป็นต้องมาขายของหารายได้ประทังชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่อาจจะคาดเดาได้วันเดียวกัน ที่บริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ถนนสาทรใต้ กทม.เวลา 09.30 น. คณะแกนนำกลุ่มรวมพลังปกป้องอธิปไตย ประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ นายแก้วสรร อติโพธิ และนายพิชิต ไชยมงคล ฯลฯ จัดกิจกรรมชุมนุม “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เอกราชจะไม่ยอมให้ใครข่มขี่” “หยุดต่างชาติแทรกแซงอธิปไตยของไทย” โดยมีกลุ่มมวลชนเครือข่าย อาทิ กองทัพธรรม คปท. สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กลุ่มเยาวชนไทยภักดี จำนวนหนึ่งเดินทางมาร่วมชุมนุมเรียกร้องให้นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หยุดแทรกแซงประเทศไทยในการเจรจาปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างคึกคัก ท่ามกลางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ทุ่งมหาเมฆ และในสังกัด บก.น.5 ดูแลความปลอดภัยโดยรอบอย่างเข้มงวด จากนั้นทั้งหมดเดินขบวนต่อไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ถนนวิทยุ เรียกร้องให้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยุติแทรกแซงอธิปไตยไทย สนับสนุนกัมพูชารุกรานประเทศไทย พร้อมจี้สหรัฐฯตัดความสัมพันธ์กัมพูชาในฐานะอาชญากรรมข้ามชาติอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่