“เหตุที่บางคนหน้านิ่วคิ้วขมวดได้ตลอด ก็เพราะเครียดกับเรื่องเล็กได้เท่ากับเรื่องใหญ่” Cr.Dungtrin “แค่ปล่อยแมลงหวี่แมลงวันเล็กๆ ออกจากหัวของตัวเองไม่ได้ก็ตายทั้งเป็นได้ หลายคนเป็นอย่างนั้นเก็บทุกเรื่องเล็กมาเป็นแมลงหวี่แมลงวันในหัว.....”ทั้งที่น่าปล่อยผ่านตั้งแต่นาทีแรกก็คว้ามาขังไว้กับตัวจนปีสุดท้าย แค่คนแปลกหน้าพูดห้วนๆใส่ แค่โดนคนขายเอาเปรียบไม่กี่บาท แค่ใครแซงคิว มาหลังได้ไปก่อนก็ย้ำคิด ย้ำวาดภาพเขาขึ้นมาในใจวาดภาพตัวเองขึ้นมาในหัวโต้ตอบเขาดุเดือดไม่รู้จบแล้ว...อยู่ดีๆ บันดาลโทสะเลือดขึ้นหน้ากับเรื่องเก่าเก็บเป็นปีๆได้แล้ว ถ้ามีเรื่องน่าเครียดจริงๆ อยู่ 50 และมีเรื่องไม่น่าเครียดแต่เก็บมาเครียดอีก 80 แปลว่าชีวิตคุณมีเรื่องเครียดเกินร้อยแล้ว...แค่ตัดเรื่องไม่น่าเครียดออกไป 80 คุณจะเหลือเรื่องให้เครียดเป็นทุกข์แค่ 50ลองท่องคาถาแก้เครียดทีละบทอย่างนี้ดู..“เรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตคือคิดให้มันเป็นทุกข์ได้ทุกเรื่อง เรื่องคอขาดบาดตายถึงแก้ได้วันนี้เดี๋ยววันหน้าก็ต้องตายอยู่ดี เรื่องเล็กที่สุดถ้าไม่หยุดคิดชีวิตก็พังได้ เรื่องเล็กเอาไว้ฝึกคิดใหญ่ๆ คิดว่าเรื่องนี้ไม่ต้องคิดก็ได้ เมื่อฝึกจนนึกขึ้นมาได้จริงๆว่าเรื่องเล็ก ปล่อยให้เป็นเรื่องเล็กไม่เห็นต้องคิดเลยปล่อยมันไว้ตรงที่ที่มันเกิดไม่ต้องเอามันตามติดตัวขึ้นเตียง ไม่ต้องพามันไปดูเราเข้าส้วม..ฝึกทุกวัน ในที่สุดก็เก่งขึ้น”กลายเป็นว่า ต่อให้เรื่องใหญ่จริงก็จะรู้จักแบ่งเวลาคิดแก้ไขและรู้ว่าถึงเวลาเลิกคิด ถึงเวลาเอาความคิดไปใช้ประโยชน์ทางอื่น นั่นแหละ! คุณจะพบว่าตัวเองลดความทุกข์อันเกิดจากการคิดเครียดจากเกินร้อย ลงมาเหลือไม่ถึงสิบ ชีวิตเบาโล่งไปจนสุดหัวอกได้!“นิพพานแปลว่าเย็น”..เย็นเพราะไม่มีไฟ เพราะไม่มีความร้อนนี้มันยืมคำของชาวบ้านธรรมดาๆ นี่ไปใช้ พูดกันมาก่อนศาสนา ก่อนจะมีศาสนามนุษย์ก็รู้จักพูดคำว่าเย็น ว่าร้อน ต่อมาครั้นศาสนาเกิดขึ้นก็ยืมคำว่าเย็นนี่ไปใช้ในเรื่องของจิตใจ ก่อนนี้เขาใช้กันแต่ในเรื่องทางวัตถุ เช่น ถ่านไฟแดงๆ ร้อน พอมันเย็นมันดำก็เรียกว่ามันนิพพาน..นิพพานแปลว่าเย็นเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายพิเศษๆ อะไรข้าวแกงกับในครัวร้อนอยู่กินไม่ได้ ก็บอกว่าเดี๋ยวรอก่อนให้มันนิพพานก่อน นี่เหมือนกับพูดเล่น มันพูดจริงอย่างนั้น คำนั้นมันใช้อย่างนั้น เมื่อมันหมดความร้อนก็เรียกว่ามันนิพพาน“นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย” ถ้าตายจะมีประโยชน์อะไร เอาไปทำอะไรได้ถ้าตายเย็นไม่ถึงขนาดนิพพานก็เรียกว่า “นิพพุติ”...ทุกคราวที่พระมาทำพิธีให้ศีลท่านจะต้องพูดคำนี้เสมอ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ คนทั้งหลายรวมทั้งท่านทั้งหลายด้วยว่าไม่ฟังหรือฟังไม่รู้ว่าอะไร ก็ว่าท่านจงมีนิพพุติ ด้วยศีล“ให้มีความเย็นแห่งชีวิตจิตใจด้วยศีล”“นิพพุติก็คือนิพพานที่ยังไม่สมบูรณ์” เย็นในตามขั้นตามระดับชาวบ้านธรรมดา นี่ถ้านิพพุติมากขึ้น มากขึ้นเด็ดขาดไม่กลับร้อนได้อีกก็เรียกว่านิพพาน..นิพพานแปลว่าเย็น เราจงมีชีวิตอย่างเย็นเป็นนิพพุติ นิพพุติ เป็นชีวิตเยือกเย็นไม่มีความร้อนใจอะไร นี่ก็เรียกว่า นิพพุติ คือ นิพพานล่วงหน้า นิพพานตัวอย่าง นิพพานน้อยๆ..เมื่อได้ใช้เทคนิคของธรรมะสมบูรณ์ที่เรียกว่า “โภชชงค์” 7 ประการแล้ว ผลที่ได้รับก็คือนิพพาน ไม่ใช่ตาย จะอยู่อย่างเย็น เย็น เย็น เป็นชีวิตเย็น ชีวิตที่ไม่มีธรรมะเป็นชีวิตร้อน...ชีวิตร้อนอย่างนี้มันกัดเจ้าของ คนโง่ๆทั้งหลายมีชีวิตร้อนที่กัดเจ้าของทั้งนั้นแหละไม่ยกเว้นใคร ถ้ามันโง่แล้วมันก็มีชีวิตร้อนชีวิตนั้นมันก็กัดเจ้าของเลวกว่าหมาเสียอีก เพราะว่าหมามันยังไม่กัดเจ้าของ..ความไม่มีธรรมะนี้มันกัดเจ้าของ กัดด้วยความรักบ้าง กัดด้วยความโกรธบ้าง กัดด้วยความเกลียดบ้าง กัดด้วยความกลัวบ้าง กัดด้วยความตื่นเต้นบ้าง วิตกกังวลบ้าง อิจฉาริษยาบ้าง หึงหวง หวงหึงบ้าง ร้อนเป็นไฟอย่างไรก็รู้กันอยู่ดีแล้วไม่ต้องพูด เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้ชีวิตก็เย็น คือเรียกว่านิพพานถ้ายังอยู่ในระดับธรรมดา ยังเปลี่ยนแปลงได้ก็เรียกว่านิพพุติ ถ้าถึงที่สุดก็เรียกว่านิพพาน“พุทธทาสภิกขุ” Cr.หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ–สวนโมกข์กรุงเทพ“เมื่อใจขุ่น โลกทั้งใบก็ขุ่นตาม” เมื่อเรา “ปล่อย” เรื่องเล็กได้แม้เรื่องเดียว จิตจะคลายความทุกข์ลดลงเหมือนยกภูเขาออกจากอก สิ่งเล็กๆ ที่ปล่อยได้เท่ากับอิทธิฤทธิ์ก้าวแรก “นิพพาน เท่ากับ ความเย็น”..ไม่ใช่ความว่างเปล่าหรือความตายแต่คือการดับไฟใจในชีวิตประจำวัน หากใจร้อนเท่ากับชีวิตเป็นนรกตั้งแต่ยังไม่ตาย หากใจเย็นเท่ากับสัมผัสสวรรค์ล่วงหน้า ย้ำคำว่า “นิพพุติ” จึงเป็นนิพพานต้นแบบเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่สุด เพราะเมื่อใครก็ตามทำใจเย็นได้ในท่ามกลางปัญหานั่นคือปาฏิหาริย์เหนือมนุษย์ทั่วไปทันที..“ผู้ที่เอาชนะคนอื่นคือผู้แข็งแกร่ง ผู้ที่เอาชนะใจตัวเองคือผู้วิเศษ”อาจารย์คณานันท์ ทวีโภค บอกคาถา หัวใจพระกรรมฐาน “นะ โม เมต ตรัย โย” นะ..น้อมใจเข้าหาธรรม โม..โมทนาทุกความดีของตนและผู้อื่น เมต..เมตตาเป็นพื้นฐานจิต ตรัย..ตั้งใจมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โย..ใคร่ครวญด้วยปัญญา ละอวิชชาด้วยการเห็นตามจริง นี่คือหัวใจเดินสู่ความเย็น นี่ไม่ใช่คาถาเรียกโชคหากแต่เป็นคาถาเปิด “คลังบุญในใจ” จิตที่บริสุทธิ์ เมตตา และเห็นจริงตามธรรมชาติ เมื่อจิตเย็น สงบ ใส มีเมตตา สิ่งที่เรียกว่า “ปาฏิหาริย์” จะเกิดเองโดยธรรมชาติ เช่น ปัญหาใหญ่คลี่คลายเอง ศัตรูกลายเป็นมิตร โอกาสดีหลั่งมาไม่ขาด คนไม่ดีหลุดออกจากชีวิต สุขภาพใจกายดีขึ้นจนแพทย์ทึ่ง“ศรัทธา”..นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้..“ลบหลู่”.รัก-ยมคลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม