“อนุทิน” ย้ำผู้นำสหรัฐฯจะไม่นำประเด็นการระงับปฏิญญาของไทยกับกัมพูชามาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้า หลังไทย ถูกระงับการเจรจาเรื่องภาษีการค้าชั่วคราว พร้อมแสดงจุดยืนให้รัฐบาลไทย เร่งเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้เร็วที่สุด ขณะที่กองทัพไทยเผยผลการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ช่องเหว อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เจอทุ่นระเบิด 7 ลูก วัตถุระเบิดอีก 50 รายการ ยังเหลือพื้นที่ต้องสงสัยมีทุ่นระเบิดอีกร้อยละ 73.54 ด้านกองทัพบกประกาศขอความร่วมมือประชาชน กำลังพลทุกระดับชั้น งดเผยแพร่ภาพ ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติการทางทหาร ให้ยึดหลัก OPSEC ในระดับสูงสุดปัญหาพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาส่อบานปลาย เมื่อผู้นำสหรัฐอเมริกาในฐานะพยานการลงนามปฏิญญาสันติภาพที่มาเลเซีย มีท่าทีกดดันไทยให้เร่งกลับสู่การเจรจาสันติภาพอีกครั้ง ภายหลังผู้แทนการค้าสหรัฐฯแจ้งระงับการเจรจาเรื่องภาษีการค้ากับไทยเป็นการชั่วคราว ทำให้เมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 16 พ.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนได้โทรศัพท์มาหาตนอีกครั้งเมื่อค่ำวันที่ 15 พ.ย. แจ้งยืนยันว่าได้หารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้พูดคุยกับตนแล้วก่อนหน้านี้นายอนุทินระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีความเห็นตรงกันกับจุดยืนของตนว่า การเก็บกู้ทุ่น ระเบิดเพื่อมนุษยธรรมเป็นประเด็นที่สำคัญยิ่งในปฏิญญาที่ไทยและกัมพูชา ท่านจึงได้ขอให้รัฐบาลไทยเร่งเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้เร็วที่สุด เพราะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตคนของทั้งสองประเทศ และประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยืนยันฝากนายกฯ อันวาร์ให้มาแจ้งตนอีกครั้งว่า “สหรัฐฯจะไม่นำประเด็นการระงับปฏิญญาของไทยมาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้”นายอนุทินโพสต์อีกว่า ตนยังได้ถามนายกฯ อันวาร์ว่า ตนสามารถโพสต์ข้อความนี้ได้หรือไม่ ท่านตอบว่า โพสต์เลยอนุทิน แล้วท่านก็จะโพสต์ยืนยันจากช่องทางการสื่อสารของท่านเช่นกัน จึงขอกราบเรียนมายังพี่น้องประชาชนที่มีความห่วงใยต่อเรื่องนี้เพื่อให้รับทราบโดยทั่วกัน อนึ่ง จดหมายจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯนั้นได้ถูกพิมพ์ขึ้นก่อนที่ตนจะได้คุยโทรศัพท์กับประธานาธิบดีทรัมป์ ค่ำวันที่ 14 พ.ย. ดังนั้นข้อมูลของตนจึงมีความเป็นปัจจุบันมากกว่าต่อมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เปิดเผยหลังหารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานา ธิบดีสหรัฐฯ ว่า นายทรัมป์บอกอย่างชัดเจนว่าต้องการเห็นสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเขาให้คำมั่นกับนายทรัมป์ว่า จะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงกับไทย และหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์ที่ชายแดนบานปลายออกไป ขอขอบคุณผู้นำสหรัฐฯที่เข้ามามีบทบาทอีกครั้งในความพยายามให้ไทยและกัมพูชาเจรจากันอย่างสันติเพื่อให้เกิดเสถียรภาพในภูมิภาคส่วนนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า ยินดีที่นายทรัมป์เข้ามาช่วยเหลือไทยและกัมพูชาให้เจรจากันในครั้งนี้ และยินดีที่ทั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ต่างยืนยันให้คำมั่นว่า จะหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายยิ่งขึ้นด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยพร้อมเดินหน้าการดำเนินงานต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯสำเร็จลุล่วงภายในกรอบเวลาเดิม รัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ เช่นเดียวกับรัฐบาลทุกประเทศ ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ตระหนักถึงความสำคัญการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ จึงเดินหน้าเตรียมความพร้อมของไทยอย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถเร่งสรุปผลการเจรจาได้ตามกรอบเวลาเดิม กระทรวงพาณิชย์ยังเร่งรัดการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาให้บรรลุผลโดยเร็ว พร้อมเดินหน้ามาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเอกชนไทย และเร่งแก้ไขปัญหาการหลบเลี่ยงภาษีหรือการส่งผ่านสินค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลและภาคเอกชนสหรัฐฯ ว่าไทยดำเนินงานด้วยความโปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากลนางศุภจีกล่าวอีกว่า ไทยเชื่อมั่นว่าทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งหวังให้การเจรจาสัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศให้ขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ผนวกกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยและสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะช่วยเอื้อต่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่างๆได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้ สหรัฐฯเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าหลักของไทย และรัฐบาลให้ความสำคัญกับการรักษาความสมดุล ความเชื่อมั่น และความสัมพันธ์ที่ดี แต่ไม่ละเลยการขยายตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง ผ่านกลยุทธ์เชิงรุกทั้งการเปิดตลาด การจับคู่ธุรกิจ และการส่งเสริมให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์สูงสุดจากผลการเจรจาบ่ายวันเดียวกัน นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวที่พรรคภูมิใจไทย ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชากับการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ว่าผู้นำสหรัฐฯ เมื่อรับฟังเหตุผลจากนายกฯแล้วก็เข้าใจ โดยให้เหตุผลว่าผู้ที่ทำผิดไม่ใช่ไทย แต่เป็นกัมพูชา ที่มีพฤติกรรมละเมิดปฏิญญา วางทุ่นระเบิดใหม่ ถือผิดเงื่อนไข เรื่องนี้ฝ่ายไทยยอมไม่ได้ แต่ยืนยันว่าจะขอเดินตามแนวทางสันติวิธี จะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาแสดงความจริงใจ เช่น หาคนออกมายอมรับผิด ขอโทษญาติผู้ได้รับบาดเจ็บและคนไทยอย่างจริงใจ รวมถึงมีมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้อีก อีกทั้งยังต้องให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่น ระเบิด ขณะที่ผู้นำมาเลเซียได้พูดคุยกับผู้นำสหรัฐฯแล้ว ยืนยันถึงความเข้าใจนี้ด้วยเช่นกัน ยืนยันว่าในส่วนของภาษีจะมีการเดินหน้าเจรจากันต่อไป แยกออกจากเรื่องชายแดน โดยวันที่ 17 พ.ย. เวลา 14.00 น.กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จะแถลงแผนดำเนินการชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ประมาณ 6 แผนงาน ที่ทำเนียบรัฐบาลสำหรับสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 15 พ.ย. กองบัญชาการกองทัพไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) รายงานผลการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 4 ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่บ้านไทยนิยม (ช่องเหว) ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขนาดพื้นที่ 730 ตารางเมตร ดำเนินการตรวจสอบทางเทคนิคพื้นที่ได้พื้นที่ปลอดภัย จำนวน 35 ตารางเมตร รวมพื้นที่ปลอดภัยทั้งสิ้น จำนวน 765 ตารางเมตร คิดเป็นร้อยละ 3.38 ตรวจพบทุ่นระเบิด ชนิดลูกระเบิดขว้าง TYPE 67 จำนวน 7 ลูก รวม 7 รายการ ตรวจพบวัตถุระเบิดรวมทั้งสิ้น 50 รายการ แยกเป็น ลูกระเบิดขว้าง TYPE 67 จำนวน 50 ลูกสรุปผลการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิด พื้นที่บ้านไทยนิยม (ช่องเหว) ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2568 ถึงปัจจุบัน ได้พื้นที่ปลอดภัยจำนวนทั้งสิ้น 5,990 ตารางเมตรคิดเป็นร้อยละ 26.46 คงเหลือพื้นที่ต้องสงสัยยืนยันว่ามีทุ่นระเบิดจำนวนทั้งสิ้น 16,644 ตารางเมตร คิดเป็นร้อยละ 73.54 ภารกิจดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ในการขจัดภัยคุกคามจากทุ่นระเบิด เพื่อคืนความปลอดภัย และความมั่นคงให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาต่อมากองทัพบกได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือประชาชนและกำลังพลทุกนาย งดเผยแพร่ภาพหรือข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติการทางทหาร เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลสำคัญถูกนำไปวิเคราะห์ต่อยอด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของทหารในพื้นที่ปฏิบัติงานและความมั่นคงของประเทศทั้งนี้ กองทัพบกเน้นย้ำให้กำลังพลทุกระดับชั้นยึดถือหลักปฏิบัติการรักษาความปลอดภัย (Operations Security: OPSEC) ในระดับสูงสุด โดยมีข้อห้ามสำคัญ ดังนี้ ห้ามเผยแพร่ข้อมูลยุทโธปกรณ์ แผนปฏิบัติ วิธีปฏิบัติ หรือการเคลื่อนย้ายกำลัง ห้ามถ่ายภาพที่มีพิกัด GPS หรือภาพที่เปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งทางยุทธการ กองทัพบกระบุว่าแม้ข้อมูลบางอย่างอาจไม่ใช่ความลับ แต่เมื่อนำไปรวบรวมกับข้อมูลอื่น อาจกลายเป็น “ภาพรวมยุทธการ” ที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการต่อรองหรือโจมตีได้ทันที เป็นเหตุผลที่กองทัพทั่วโลกรวมถึงกองทัพไทย ให้ความสำคัญอย่างสูงต่อมาตรการ OPSEC จึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันใช้โซเชียลมีเดียอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยของกำลังพลแนวหน้า และเพื่อให้ประเทศไทยมั่นคง แข็งแกร่ง บนพื้นฐานของความรับผิดชอบร่วมกันอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่