กองทัพไทยชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐานแก่คณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ 18 ประเทศ เรื่องสถานการณ์ความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด กองทัพบกจับพิรุธกัมพูชาจัดฉากสร้างภาพเล่นบทเหยื่อ พร้อมโต้สื่อมาเลย์ที่มั่วนิ่มว่าทุ่นระเบิดของกัมพูชาที่ทำทหารไทยบาดเจ็บเป็นทุ่นระเบิดเก่ายืนยันเป็นทุ่นระเบิดใหม่ ขณะที่มีการพบทุ่นระเบิดใหม่ 2 ทุ่นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานร่วม AOT 3 ชาติ ลงพื้นที่บังเกอร์ชายแดน จ.สระแก้ว หลังถูกทหารกัมพูชายิงใส่ สื่อมาเลเซียมั่วนิ่มเรื่องทุ่นระเบิดกัมพูชาอ้างว่าเป็นทุ่นระเบิดเก่า กลับลำแก้ข่าวเป็นทุ่นระเบิดใหม่กัมพูชายังพยายามใส่ร้ายประเทศไทยอยู่ตลอดเวลาและยังลอบวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดมีการพบทุ่นระเบิดที่เป็นทุ่นใหม่อีก 2 ทุ่น ในเขตเส้นปฏิบัติการของไทย ที่บริเวณเนิน 677 ช่องอานม้า ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานีพล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยเมื่อวันที่ 14 พ.ย. แสดงความสงสัยการจัดงานศพของชาวกัมพูชารายหนึ่ง ที่อ้างว่าถูกทหารไทยยิงเสียชีวิต ว่า การนำเสนอข้อมูลบิดเบือนต่อสาธารณะของทางการกัมพูชาและสื่อกัมพูชา ที่จัดฉากสร้างภาพว่าทหารไทยยิงใส่พลเรือนหมู่บ้านเปรยจัน จ.บันเตียเมียนเจย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ถูกยิงเมื่อวันที่ 12 พ.ย.แต่มีการฌาปนกิจศพเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. เป็นการกระทำที่ผิดวิสัย ทั้งที่ควรมีการชันสูตรพลิกศพก่อน เหมือนจงใจปกปิดหลักฐานที่บิดเบือนไว้ ที่ผ่านมามักใช้วิธีเปิดเผยหลักฐานและประโคมข่าวใหญ่โต แต่พบผู้เสียชีวิตนี้กลับไม่ทำเช่นนั้น ทั้งที่มีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) อยู่ระหว่างลงพื้นที่ โฆษกกองทัพบกกล่าวต่อว่า อาจเป็นไปได้ว่า ไม่มีศพผู้เสียชีวิตจริง หรือไม่ใช่ผู้เสียชีวิตที่เกิดจากการปะทะกันตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง สังเกตจากภาพที่ประชาชนกัมพูชาได้รับบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาล พบว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง บาดแผลที่เกิดจากอาวุธปืนทางทหารในระยะ 500-800 เมตร ต้องมีลักษณะฉกรรจ์และรุนแรงกว่าภาพที่ปรากฏในข่าว รวมทั้งภาพที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บกลับมีรอยยิ้มและอาการที่ไม่เหมือนถูกยิงจากอาวุธปืน ข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ล้วนยืนยันว่ากัมพูชาพยายามสร้างสถานการณ์ จัดฉาก สร้างภาพการละครในบทเหยื่อที่ถูกกระทำจากฝ่ายไทยพล.ต.วินธัยกล่าวด้วยว่า ยังคงมีการตรวจพบการใช้ทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชาต่อเนื่องโดยวันที่ 14 พ.ย. ในพื้นที่บริเวณเนิน 677 ช่องอานม้า ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี อยู่ในเขตเส้นปฏิบัติการของไทย หน่วยทหารในพื้นที่ตรวจพบทุ่นระเบิด 2 ทุ่น จากการพิสูจน์ทราบโดยชุดตรวจค้นทุ่นระเบิด พบว่าเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 สภาพใหม่ ยังไม่ได้ถอดสลักนิรภัยออก เก็บกู้และบันทึกหลักฐาน เพื่อดำเนินการรายงานต่อคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน AOT ต่อไปโฆษกองทัพบกกล่าวอีกว่า สำหรับทุ่นระเบิดที่ตรวจพบ 2 ทุ่น วางห่างกันระยะประมาณ 50 เมตร จุดที่ 1 อยู่บริเวณแนวลาดตระเวนของฝ่ายไทย และจุดที่ 2 อยู่ใกล้เคียงกับฐานปฏิบัติการเก่า บริเวณเนิน 677 ที่ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ หากพิจารณาจากตำแหน่งที่ตรวจพบทุ่นระเบิดแล้ว สันนิษฐานว่าเป็นการเตรียมการวางทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชา เพื่อลอบทำร้ายฝ่ายไทยที่ลาดตระเวนบริเวณชายแดน หรือมีการเข้าไปปรับปรุงพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน และแสดงถึงเจตนาในการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทย ทั้งเป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ทางไทยและกัมพูชาล้วนได้ให้สัตยาบัน ดังนั้นฝ่ายไทยยืนยันที่จะปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดในเขตอธิปไตยไทย เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กำลังพลและประชาชนในพื้นที่ต่อไปพล.ต.วินธัยยังกล่าวถึงกรณีการนำเสนอข่าวของสำนักข่าว Bernama ระบุว่า รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวถึงทุ่นระเบิดที่ตรวจพบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นทุ่นระเบิดเก่านั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เป็นการนำเสนอข่าวที่ผิดพลาดของสำนักข่าว Bernama ทำให้สื่อไทยและสื่อกัมพูชานำมาเสนอข่าวจนเกิดความผิดพลาด ได้มีการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ ตรวจสอบจากเอกสารรายงานของ AOT พบว่า มีการระบุว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นการนำเสนอข่าวที่ผิดพลาดบ่ายวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมกำลังฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ได้ลงตรวจสอบบังเกอร์จุดปฏิบัติการแนวชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว หลังเกิดเหตุถูกยิงจากฝั่งกัมพูชาเมื่อคืนวันที่ 13 พ.ย. ส่งผลให้โครงสร้างบังเกอร์ได้รับความเสียหายหลายจุด เจ้าหน้าที่ ได้เก็บวัตถุพยาน จากตำแหน่งที่พบร่องรอยกระสุนที่ฝังอยู่ในโครงสร้าง พร้อมตรวจวัดทิศทางการยิงอย่างละเอียด เพื่อนำไปจัดทำรายงานสรุปผลเสนอให้หน่วยงานต้นสังกัด รวมถึงใช้ประกอบการประเมินสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ขณะเดียวกัน คณะผู้สังเกตการณ์ AOT จาก 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวม 4 คน ได้เข้าร่วมตรวจสอบพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ไทย ได้บันทึกร่องรอยกระสุนและความเสียหายที่เกิดขึ้น เน้นย้ำให้ทั้งสองฝ่ายรักษาความสงบและป้องกันเหตุลุกลามเพิ่มเติม ด้านฝ่ายกัมพูชาได้พาคณะ AOT ฝั่งตนเองลงตรวจสอบพื้นที่ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 พ.ย. เพื่อจัดทำรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาเช่นกัน สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ไทยอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นทางการ ก่อนส่งต่อให้ฝ่ายความมั่นคงระดับสูงพิจารณา พร้อมยืนยันยังคงเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นที่ห้องประชุมออดิทอเรียม เวลา 10.00 น.กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพไทยมีการจัดประชุมชี้แจงแสดงหลักฐานต่างๆ ในสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มีผู้บังคับบัญชากองบัญชาการกองทัพไทยร่วมกับผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้ข้อมูลสำคัญต่อคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย (Military Attache Corps to Thailand : MAC-T) จำนวน 18 ประเทศ การชี้แจงมุ่งเน้นประเด็นทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่พิสูจน์ทราบแล้ว ทั้งหลักฐานเชิงประจักษ์และทางนิติวิทยาศาสตร์ว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ได้รับความสนใจจากนานาประเทศเจ้ากรมข่าวทหาร กล่าวถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของไทย ในการปฏิบัติตามมติคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) อย่างใกล้ชิด รวมถึงการอำนวยการและประสานงานร่วมกับคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ซึ่งต่อมาได้ปรับเป็นคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เพื่อให้การเจรจาดำเนินไปตามข้อตกลงการหยุดยิงของทั้งสองฝ่าย ไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดต่อ Joint Declaration เป็นเอกสารที่ไทยยืนยันเสมอว่าเป็นแนวทางสำคัญในการมุ่งสู่สันติภาพที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่เกิดขึ้นซ้ำหลายครั้ง ส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งเผชิญกับความตึงเครียดและซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากสะท้อนให้เห็นถึงการที่กัมพูชา ขาดความจริงใจ ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งนำไปสู่การดำเนินมาตรการตอบโต้ของรัฐบาลไทยในที่สุด ฝ่ายไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศต่างๆ จะเข้าใจบริบทและเหตุผลของการดำเนินมาตรการดังกล่าวการชี้แจงครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ครอบคลุมภาพรวมสถานการณ์ หลักฐาน และผลพิสูจน์ทางเทคนิค ได้แก่ 1.พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงภาพรวมสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดหลายครั้ง ตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา จนนำไปสู่เหตุผลในการตอบโต้ของรัฐบาลไทย 2.พ.อ.ดนัย จำนงชอบ ผู้แทนกรมข่าวทหารบก นำเสนอหลักฐานและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถาน การณ์ในพื้นที่ชายแดน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการปะทะครั้งล่าสุด 3.พ.อ.สัณฐิชัย ชมภูจันทร์ ผู้แทนศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ชี้แจงผลการตรวจสอบและพิสูจน์ทราบทั้งทางหลักฐานเชิงประจักษ์และทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่วางใหม่ เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้คณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศเข้าใจข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และเห็นบริบทของความจำเป็นในการดำเนินการของรัฐบาลไทยวันเดียวกันสำนักข่าวเบอร์นามา สำนักข่าวแห่งชาติของมาเลเซีย ได้แก้ไขรายงานเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดความสับสนเกี่ยวกับทุ่นระเบิดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในรายงานการสัมภาษณ์นายโมฮัมหมัด ฮาซัน รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย เมื่อค่ำวันที่ 13 พ.ย.ของสื่อมาเลเซีย ระบุเป็นทุ่นระเบิดใหม่ ขณะที่สื่อภาษาอังกฤษของมาเลเซีย รายงานว่า ไม่น่าจะเป็นของใหม่ แต่สำนักข่าวเบอร์นามายืนยันว่า ทุ่นระเบิดเป็นของใหม่ ตามผลการตรวจสอบของทีมสังเกตการณ์อาเซียน พบว่าทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บนั้น เป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ อย่างไรก็ตามในรายงานระบุ รมว.ต่างประเทศมาเลเซียกล่าวว่า ทั้งไทยและกัมพูชาได้ขอให้มาเลเซียช่วยอำนวยความสะดวกในการเจรจาครั้งใหม่ มาเลเซียยืนยันจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานเพื่อหาทางออกอย่างสันติ และจะกำหนดวันเจรจาเร็วๆนี้ หลังจากปรึกษากับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียอีกด้านหนึ่งวันเดียวกัน เพจกองทัพบกทันกระแส ได้เปิดเผยคลิปพร้อมข้อความว่า ทูตทหารได้ลองเล่นมือถือทหารเขมรที่มีคลิป รูป ทุ่นระเบิด PMN-2 อยู่ข้างในมือถือทหารเขมรจริงๆ มีคลิป รูป วางทุ่นระเบิดจริงๆ ผู้ช่วยทูตทหารได้เห็นกับตาตัวเองและต่างบอกกันว่า “นี่คือหลักฐานที่ดีที่สุด” พร้อมติดแฮชแท็กว่า #สันติภาพไม่มีอยู่จริงอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่