องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (Organization of the Petroleum Exporting Countries) หรือโอเปก เป็นองค์กรระหว่างประเทศของประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ก่อตั้งเมื่อเดือนกันยายน 1960 มี 5 สมาชิกผู้ก่อตั้งคืออิหร่าน อิรัก คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และเวเนซุเอลา เป็นผู้กำหนดโควตาการผลิตน้ำมันดิบของประเทศสมาชิก และมีอิทธิพลอย่างมากต่ออุปทานและราคาน้ำมันในตลาดโลกปัจจุบันโอเปกมีสมาชิก 12 ประเทศ คือ อิหร่าน (1960) อิรัก (1960) คูเวต (1960) ซาอุดีอาระเบีย (1960) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (1967) แอลจีเรีย (1969) ลิเบีย (1962) ไนจีเรีย (1971) กาบอง (2016) อิเคว ทอเรียลกินี (2017) สาธารณรัฐคองโก (2018) และเวเนซุเอลา (1960)12 ประเทศสมาชิกโอเปกผลิตน้ำมันดิบได้เฉลี่ยประมาณ 27–28 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาร์เรลต่อปี มีส่วนแบ่งในตลาดโลกประมาณร้อยละ 35–40 ของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบรวมทั่วโลกเวเนซุเอลาเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมันมากที่สุดในโลก 303.22 พันล้านบาร์เรล (ค.ศ.2024) แต่การผลิตจริงถูกจำกัดอย่างมาก เนื่องจากถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ และปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงการขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดมากมายแต่เวเนซุเอลาก็สามารถผลิตน้ำมันได้มากถึง 8.9 แสนถึง 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวันอูโก ชาเบซ อดีตประธานาธิบดีเวเนซุเอลาคนที่ 45 (1999-2013) เป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่คนยากจนและเป็นที่รู้จักจากการดำเนินนโยบายสังคมนิคมแบบศตวรรษที่ 21 หรือที่เรียกว่าชาบิสโม เน้นการปฏิรูปที่ดิน กระจายความมั่งคั่งจากน้ำมัน และต่อต้านจักรวรรดินิยมสหรัฐฯสหรัฐฯพยายามโค่นล้มชาเบซมายาวนาน มีความพยายาม รัฐประหาร เมื่อ ค.ศ.2002 แต่ไม่สำเร็จ แถมยังถูกต่อต้านจากมวลชนผู้สนับสนุนชาเบซอย่างรุนแรง เมื่อชาเบซถึงแก่อสัญกรรม นิโคลัส มาดูโร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ได้รักษาการประธานาธิบดี และชนะการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2013 สืบทอดอำนาจต่อจากชาเบซสหรัฐฯและพันธมิตรหลายประเทศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งของมาดูโร จากนั้นสหรัฐฯก็เดินหน้าคว่ำบาตรชุดใหญ่ต่อเวเนซุเอลา โดยมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมน้ำมัน ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ รวมทั้งบุคคลสำคัญในรัฐบาลมาดูโร ปิดกั้นการเข้าถึงระบบการเงินโลก เพื่อกดดันให้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองขณะที่ผมเขียนเปิดฟ้าส่องโลกรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพอยู่นี้ รายงานของวอชิงตันโพสต์บอกว่า เรือรบของกองทัพเรือสหรัฐฯ 8 ลำ เรือปฏิบัติการพิเศษ 1 ลำ และเรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ลำหนึ่ง เข้าประจำการอยู่ในแคริบเบียนแล้ว แถมด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส เจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด ที่คาดว่าจะเดินทางมาพร้อมกับเรือทหารอีก 3 ลำในสัปดาห์หน้า รวมแล้วจะมีบุคลากรทางทหารทั้งสิ้นกว่า 4 พันนาย นี่ยังไม่รวมกับฝูงบินรบ F-35 ที่เข้าไปประจำการที่ฐานทัพสหรัฐฯแห่งหนึ่งในเปอร์โตริโกด้วย รัฐบาลสหรัฐฯตั้งข้อกล่าวหาทางอาญาต่อมาดูโรและบุคคลใกล้ชิดว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การฟอกเงิน และการก่อการร้ายค้ายาเสพติด โดยบอกว่าเวเนซุเอลาเป็นฐานที่มั่นของผู้ค้ายาเสพติดและกลุ่มอาชญากรข้ามชาติก่อนหน้านั้น สหรัฐฯโจมตีเรือ 10 กว่าลำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นของกลุ่มลักลอบขนยาเสพติด ซึ่งมาดูโรก็โจมตีสหรัฐฯกลับว่า สหรัฐฯกำลังสร้างสถานการณ์สงคราม ทำให้ภูมิภาคนี้ตึงเครียดเพราะมีความเสี่ยงที่จะบานปลายขยายเป็นสงครามได้ในอนาคตสหรัฐฯมีนโยบายเก่าแก่ที่เรียกว่า Monroe Doctrine ซึ่งประกาศอย่างเป็นทางการว่า ‘ทวีปอเมริกาทั้งซีกโลกตะวันตกเป็นเขตอิทธิพลของสหรัฐฯโดยเฉพาะอย่างยิ่งในลาตินอเมริกา’ สหรัฐฯไม่ต้องการให้มีระบอบการปกครองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ ซึ่งต่อต้านลัทธิทุนนิยมและนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของตนเป้าหมายของสหรัฐฯคือต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของเวเนซุเอลาให้สำเร็จ เพราะหากสำเร็จ สหรัฐฯก็ถือว่ายิงปืนนัดเดียวตกมาหลายฝูง ได้ทั้งกำจัดผู้นำที่เป็นศัตรูกับสหรัฐฯมายาวนาน รวมทั้งลดทอนอิทธิพลจีน–รัสเซียในภูมิภาคที่สำคัญที่สุดคือ การที่สหรัฐฯจะได้เข้ามาควบคุมและมีอิทธิพลเหนือแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเวเนซุเอลาได้สะดวกโยธิน.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม