ท่ามกลางมรสุมสงคราม ความ แตกแยก และความไม่ไว้วางใจที่ปกคลุมโลกในปัจจุบันปรัชญาเก่าแก่ของ “ขงจื๊อ” นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีน กำลังถูกนำมาเป็น “ยาขนานเอก” ในเวที “เสวนาอารยธรรมโลก” ครั้งสำคัญหลายเวที ทั้งในและต่างประเทศพินิจ จารุสมบัติ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ในฐานะรองนายกสภาสหพันธ์ขงจื๊อนานาชาติ กล่าวในการประชุมคณะกรรมการบริหารสมัยที่ 2 ครั้งที่ 7 บอกว่า ปรัชญาขงจื๊อมีประวัติศาสตร์การเผยแพร่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ผสมผสานอย่างลึกซึ้งกับวัฒนธรรมพุทธและท้องถิ่น“ผมขอเสนอให้สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์การศึกษาค้นคว้าปรัชญาขงจื๊อนานาชาติไทย-จีน เพื่อแปลและตีความคัมภีร์คลาสสิกของปรัชญาขงจื๊ออย่างเป็นระบบ และบ่มเพาะนักวิชาการขงจื๊อรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญวัฒนธรรมทั้งจีนและไทย...ส่งเสริมการผสมผสานคุณค่าของปรัชญาขงจื๊อกับคุณค่าดั้งเดิมของประเทศไทย”ควบคู่ไปกับพัฒนาหลักสูตรและหนังสืออ่านนอกเวลาที่เหมาะกับระบบการศึกษาไทย เพื่อให้ “ความกตัญญู ความรักห่วงใย ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ มารยาท ความยุติธรรม ความอายและรู้ผิด” หล่อเลี้ยงจิตใจของเยาวชนในวิธีที่ใกล้ชิดกับสังคมไทยมากขึ้น...ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมระดับภูมิภาคจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมระดับนานาชาติเพิ่มเติม เพื่อผลักดันประเทศไทยให้เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม “ปรัชญาขงจื๊อ” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับจากความสำเร็จของการประชุมระดับโลกในหลายเวที รวมถึงงาน “สัมมนาอารยธรรมสมานฉันท์ ปี 2025” ณ กรุงเทพฯ ที่ชูประเด็น “ปรัชญาขงจื๊อกับการเสวนาอารยธรรมโลก” ได้มีการถอดรหัส 3 แนวคิดหลัก เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศปรากฏว่า 3 แนวคิดนี้มีความเชื่อมโยงในทุกๆเรื่องและยังสามารถวิเคราะห์เทียบเคียงกับสถานการณ์ “การเมือง” ของไทยได้อย่างน่าสนใจ เริ่มจาก “เหริน”...วัดใจ “ผู้นำ” กับวิกฤติความเชื่อมั่น หัวใจของปรัชญาขงจื๊อคือ “เหริน” ซึ่งหมายถึง ความรักความเมตตา มนุษยธรรม และความซื่อสัตย์ มิติการเมืองไทยวันนี้ที่ผ่านๆมาวิกฤติศรัทธาต่อสถาบันและผู้นำไม่ได้มาจากนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการขาด “เหริน” ที่เป็นรากฐานของความไว้วางใจการขาดความซื่อสัตย์และการมุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง ทำให้เกิด “ความแตกแยกในสังคม” อย่างรุนแรง... ปรัชญาขงจื๊อสอนว่าผู้นำที่แท้จริงคือ “จวินจื่อ” บัณฑิตผู้ทรงคุณธรรม ผู้ซึ่งปฏิบัติการเมืองด้วยหลักการ ไม่ใช่เล่ห์กลหากผู้นำและนักการเมืองกลับไปยึดมั่นในความรักห่วงใยความซื่อสัตย์...ปัญหาเรื่องความขัดแย้งที่มาจากการไม่เชื่อใจซึ่งกันและกันจะลดลง เพราะสะพานแห่งความเข้าใจจะถูกสร้างขึ้นระหว่างผู้มีอำนาจและประชาชนสอง...“สมานฉันท์แต่ไม่เหมือนกัน” ทางรอดของ “สังคมแตกแยก” แนวคิดนี้ถูกกล่าวถึงอย่างชัดเจนว่าเป็นปรัชญาที่ชาญฉลาดสำหรับการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสามารถนำมาใช้เป็นพิมพ์เขียวสำหรับการปรองดองทางการเมืองของไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบความแตกแยกในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสีต่างๆ หรือความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่าง “ขั้วเก่า” กับ “ขั้วใหม่” ต่างต้องการการ “สมานฉันท์” แต่การสมานฉันท์ของขงจื๊อไม่ใช่การบังคับให้ทุกคนต้อง “เหมือนกัน” หรือ “ยอมจำนน” ต่อแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง...หมายความว่า พรรคฝ่ายค้านและรัฐบาลต้องยอมรับการมีอยู่ของกันและกันในฐานะ “ความหลากหลาย” ของระบอบประชาธิปไตย แม้จะมีความคิดที่แตกต่างกัน (ไม่เหมือนกัน) แต่ก็ต้องอยู่ร่วมกันได้ด้วยหลักการและกฎหมาย (สมานฉันท์)การที่แต่ละฝ่ายพยายาม “เอาชนะ” โดยไม่เคารพกติกา หรือพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง จะยิ่งฉุดรั้งประเทศให้จมอยู่กับความแตกแยกในสังคมอย่างไม่มีวันสิ้นสุดสาม... “ใต้ฟ้าเพื่อสาธารณะ” ทลายกำแพง “ความเหลื่อมล้ำ” อุดมคติสร้างความกลมเกลียวแก่รัฐทั้งปวงนี้คือการมองว่า โลกนี้เป็นของสาธารณะและผู้นำต้องรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพของมวลมนุษย์ทั้งหมด แนวคิดนี้ตอบโจทย์ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” ในประเทศไทยได้อย่างตรงจุดที่สุด โดยเฉพาะการจัดสรรทรัพยากร...การสร้างโอกาส หากรัฐบาลและผู้นำยึดหลักนี้ จะต้องบริหารประเทศโดยยึดหลัก “ประชาชนคือรากฐานของรัฐ” ซึ่งเป็นค่านิยมที่ขงจื๊อให้ความสำคัญนั่นคือ...การดำเนินนโยบายต้องไม่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนหรือชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง แต่ต้องสร้างความเป็นธรรม (ความยุติธรรม) และลดช่องว่างทางเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าประชาชนกลุ่มนั้นจะเป็นฐานเสียงของใครก็ตาม“ความเหลื่อมล้ำคือเชื้อไฟสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมในที่สุด หากรัฐบาลไม่สามารถทำให้ประชาชนทุกคนรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของประเทศ (ใต้ฟ้าเพื่อสาธารณะ) ได้จริง ปัญหาการเมืองไทยก็จะยังคงเป็นวงจรอุบาทว์ที่ไร้ทางออก”“สังคมไทย” จะก้าวข้ามความขัดแย้งได้ ไม่ใช่ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มต้นที่การปฏิรูปจิตใจของ “ผู้นำ” ให้กลับไปยึดมั่นใน “เหริน” และยอมรับ “ความต่าง” ของประชาชน เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือสวัสดิภาพของมวลมนุษย์ในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริงบทสรุป...ปรัชญาขงจื๊อไม่ได้เป็นเพียงภูมิปัญญาโบราณ หากแต่เป็น “ศิลปะแห่งชีวิต” และ “พลังหนึ่งในการสร้างโลกให้สงบสุข สมานฉันท์”.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม