วิกฤติสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ทั่วโลกเร่งปรับตัวสู่ “ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน” เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดขยะและมลพิษ เพื่อความยั่งยืนในระยะยาวในงาน Sustainability Expo 2025 เมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น จัดเสวนา “ความร่วมมือไทย–ญี่ปุ่น : ขับเคลื่อนนวัตกรรมธุรกิจผ่านเศรษฐกิจหมุนเวียน” เปิดเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดและกรณีศึกษาระหว่างภาครัฐและเอกชนของทั้ง 2 ประเทศ ในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านรีไซเคิลและการจัดการขยะในงานนี้ นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ที่สืบเนื่องกว่า 600 ปี นับแต่ยุคอาณาจักรริวกิวกับอาณาจักรอยุธยา โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา ยังเป็นโอกาสครบรอบ 138 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น สะท้อนถึงความร่วมมืออันยาวนาน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่มีการลงทุนจากญี่ปุ่นในไทยจนถึงปัจจุบันรวมกว่า 4 ล้านล้านบาท และมีบริษัทญี่ปุ่นกว่า 6,000 แห่ง ดำเนินกิจการในไทย ถือเป็นรากฐานสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนนายโอตากะยังย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน การรีไซเคิล และเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นกุญแจสำคัญสู่การสร้างอนาคตที่มั่นคง ที่ผ่านมาสถานทูตญี่ปุ่นได้ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการจัดการขยะ เช่น การศึกษาดูงานในยุโรป และการนำเทคโนโลยีญี่ปุ่นมาใช้ในไทย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมรีไซเคิลและพลังงานชีวมวล ซึ่งมองว่ามีศักยภาพและโอกาสเติบโตสูงด้าน นายโดอิ เคนทาโร รมช.สิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น ด้านกิจการสิ่งแวดล้อมโลก เน้นถึงโครงการ “ASEAN–Japan Resource Circulation Partnership” มุ่งการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยส่งเสริมการใช้ ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยจะมี โครงการนำร่องในไทยในปี 2569 ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการแยกและรีไซเคิลแร่ธาตุสำคัญจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของอาเซียนและญี่ปุ่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ไม่เพียงรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอีกด้วย.อมรดา พงศ์อุทัย คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม