"อนุทิน" ขอให้ใจเย็นแก้ปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำชัดไม่ยอมให้ไทยเสียเปรียบแน่นอน พร้อมเอาจริงปราบแก๊งสแกมเมอร์ สั่ง กต.ตรวจสอบชื่อ 7 นักการเมืองมีเอี่ยวแต่สวน “โรม” จะเสนอข้อมูลอะไรต้องมีหลักฐาน ส่วนสถานทูตเกาหลีใต้ชี้แจงข่าวนายกฯเกาหลีใต้จะเปิดชื่อ 7 นักการเมืองไทยเป็นข่าวปลอม พร้อมดำเนินมาตรการที่จำเป็น ด้าน “มูลนิธิกระจกเงา” ปูดปีนี้รับแจ้งคนหายที่กลายเป็นเหยื่อแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้านกว่า 119 ราย มีอีก 25 ราย ทั้งคนไทย-ต่างชาติ รอความช่วยเหลือ ย้ำไทยถูกใช้เป็น “ทางผ่าน” และศูนย์กลางรับ-ส่งคนการกวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาที่นานาชาติให้ความสำคัญและพร้อมใจปฏิบัติการจริงจัง ถือเป็น 1 ใน 4 เงื่อนไขหลัก ที่ไทยต้องการให้กัมพูชาร่วมมือ เพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนระหว่างกันด้วยนั้นลั่นไม่ยอมให้ไทยเสียเปรียบเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 ต.ค. ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ธรรมาภิบาลทางการแพทย์กับการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน” ว่า ในฐานะเป็นรัฐบาล เรื่องภัยกัมพูชาก็ให้ทำใจให้เย็นๆ เราไม่มีเสียเปรียบแน่นอน มีคนถามว่าทำไมรัฐบาลเงียบจัง ท่านครับจะไปรบกับใครแล้วมาบอกแผนการรบได้หรือ จะทำอะไร จะไปเจรจาอะไรต้องบอก บอกปุ๊บเขาก็แก้อยู่ที่โน่น จะไปทำโน่น ทำนี่ ขอให้ทุกท่านทราบได้อย่างเดียวว่า ไม่มีทางที่คนเป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะยอมให้ประเทศของเราเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศใดก็ตามที่เรามีความขัดแย้งกันอยู่ เราต้องรักษาประโยชน์ของประเทศเรายึดรอบคอบ-ป้องเกียรติภูมินายกฯยังกล่าวถึงการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันในการเจรจาอะไรต่างๆไม่มีเรื่องการเปิดด่าน จนกว่าความเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยจะหมดไป ถ้าอยู่ในเขตเรา เราไล่อยู่แล้ว ถ้าอยู่ในเขตที่สงสัยเราต้องใช้วิธีทางสากล เจรจาพูดคุยกันก่อน ตนเชื่อว่าสถานการณ์โควิดปลูกฝังความอดทนในตัวตนว่าช้าๆได้พร้าเล่มงาม แต่อย่าช้าเกินไปเดี๋ยวจะถูกกระทืบ สุขุมดีกว่าและรอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ รับรองว่าจะไม่ให้เกิดอะไรที่เป็นการเสื่อมเสียซึ่งเกียรติภูมิ เกียรติยศอธิปไตยตรงนี้ ขอให้ทุกคนมีความมั่นใจสั่ง กต.ตรวจสอบ 7 ชื่อนักการเมืองต่อมานายอนุทินให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีมีข่าวในโลกออนไลน์ว่า นายกฯ เกาหลีใต้จะเปิดชื่อนักการเมืองไทย 7 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งแสกมเมอร์ในกัมพูชา ว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศและทีมงานไปสืบหาข้อเท็จจริงแล้ว หากมีหลักฐานการกระทำที่ผิดกฎหมายต้องดำเนินคดีไม่มีข้อยกเว้น ตนสั่งแล้ว ให้สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล ติดตามข่าวเรื่องนี้ ยืนยันตอนที่คุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ท่านไม่ได้พูดเรื่องนี้เลยป้อง “ธรรมนัส” ต้องเลือกคนไว้ใจส่วนกรณีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เสนอให้ปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กรณีให้คณะทำงานเป็นทนายความให้กับนายเบน สมิท ที่ถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำนั้น นายอนุทินกล่าวว่า ตรงนี้ต้องดูตามสิทธิ การตั้ง ทนายความ ถ้าตนจะตั้งทนายความมาดูคดีของตน ก็ต้องเอาคนที่ไว้วางใจและคุยกันรู้เรื่อง ซึ่งจะปลดหรือไม่ปลด อยู่ที่รูปคดี อยู่ที่คำพิพากษา และอยู่ที่การกระทำผิดไทยเอาจริงร่วมปราบสแกมเมอร์นอกจากนี้ นายอนุทินยังกล่าวถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลปราบปรามสแกมเมอร์เชิงรุกว่า สัปดาห์ที่แล้วมีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีการจับกุม 37 ราย และขยายผลต่างๆอีกมากมาย ในวันที่ 20 ต.ค. จะมีการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 ทุกเรื่องอยู่ในนี้หมดสแกมเมอร์ต้องเป็นวาระแห่งภูมิภาคนี้ หรือวาระของ โลกด้วย ไทยต้องเป็นส่วนหนึ่งร่วมมือปรามสแกมเมอร์ทุกวิถีทาง อย่างไรก็ตาม เมื่อนายอนุทินถูกถามเรื่องที่มีการเปิดเผยข้อมูลว่าบริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ตั้งอยู่ที่อาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ นายอนุทินกล่าวว่า “เขาตอบแล้วนี่ครับ อย่าถามนำ” ก่อนที่นายกฯจะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันทียังเดินหน้าเจรจาหยุดยิงจากนั้นในช่วงบ่ายนายอนุทินให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมที่สนามฟุตบอลโปโล ฟุตบอล พาร์ค เขตปทุมวัน กรณีมีรายงานข่าวว่าฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา ไม่ต้องการลงนามสันติภาพและเจรจาหยุดยิงว่า ยังไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะขณะนี้ข้อตกลงดังกล่าวยังเดินหน้า ประเทศไทยมีจุดยืน 4 ข้อ ส่วนการประชุม JBC ถือเป็นคนละเรื่องไม่ส่งผล เพราะเป็นเรื่องปักเขตแดน ถือว่าดำเนินการมาได้เกินครึ่งแล้วยังคงเดินหน้าเจรจา แต่ต้องใช้เวลา ส่วนการประชุม GBC ยังคงเดินหน้าเช่นเดียวกับการเจรจาระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ 2 ประเทศ การที่เราไม่ถูกคุกคามยั่วยุ และยิงข้ามฝั่งมาเกือบ 2 เดือนแล้ว ถือเป็นหนึ่งความคืบหน้า เราได้แสดงให้เขาเห็นว่า ไทยรับไม่ได้และพร้อมจะโต้ตอบอย่างเต็มที่ สิ่งที่ยังยืนยันได้คือตอนนี้จะไม่ยอมให้เขามาละเมิดอธิปไตยและทำร้ายคนของเราอีกต่อไปสวน “โรม” พูดต้องมีหลักฐานนอกจากนี้นายอนุทินยังกล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. จะนำข้อมูลสแกมเมอร์มาให้ว่า ยินดีแต่ต้องมีหลักฐาน เพื่อนำไปขยายผล พูดลอยๆไม่ได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถนำไปดำเนินคดีต่อได้ ส่วนตัวอยากเชิญนายรังสิมันต์ มาหารือเป็นการส่วนตัว เพราะเป็นคนที่ให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องที่แม่สอดแล้ว อะไรที่เราเปิดเผยได้เราก็ทำ แต่ตอนนี้สิ่งที่พูดได้อย่างมั่นใจคือ ไม่มีนโยบายไหนที่จะยอมลดราวาศอกกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย และปล่อยให้เจ้าหน้าที่ไปทำ หากตนไปพูดก่อนอาจจะถูกตำหนิ จะทำให้คนร้ายไหวตัวแก้เกมได้พท.จี้สอบเส้นทางเงิน “เฉินจื้อ”ด้าน น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีเตรียมประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในวันที่ 20 ต.ค. ว่า เริ่มมีความหวังเห็นรัฐบาลขยับปราบสแกมเมอร์คอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา ทั้งนี้ อยากเสนอให้รัฐบาลถอดรหัสมาตรการที่สหรัฐอเมริกา-สหราชอาณาจักร-เกาหลีใต้-เวียดนาม ใช้กดดันเครือข่ายสแกมเมอร์มาประยุกต์ใช้กับไทย ต่อยอดกลไกที่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เคยทำสำเร็จ ดังนี้ 1.โจมตีเส้นทางการเงิน คว่ำบาตรผู้เล่นตัวหลัก ตัดการเข้าถึงระบบการเงินให้ค่ายสแกมเมอร์เดินเงินยาก ให้ไทยมีบทบาทนำเป็นศูนย์ประสานงานนานาชาติในภูมิภาค เพื่อขยายการตรวจสอบเส้นทางการเงินเครือข่ายอาชญากรรมกลุ่ม Prince Group ของนายเฉินจื้อ และผู้เกี่ยวข้องในไทยแนะต่อยอดนโยบาย รบ.เดิมน.ส.ชยิกากล่าวอีกว่า 2.ยึดสินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่ให้ ป.ป.ช. ปปง. กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบเส้นทางบิทคอยน์ที่เชื่อมโยงเส้นทางการเงินเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชาอื่นๆ 3.ไล่ปิดท่อรับสมัครงานผิดกฎหมาย เดิมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ปิดเว็บไซต์เถื่อนไป 400,000 URL มุ่งล้างโฆษณางานต่างแดนปลอมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัดจุดกำเนิดไม่ใช่แค่ปลายทาง 4.เรียกร้องประเทศสมาชิกสหประชาชาติ และอาเซียนช่วยแก้ปัญหาค้ามนุษย์ นายกฯอย่ากลัวการต่อยอดนโยบายเดิมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร การเป็นนายกฯจะบอกไม่ทราบรายละเอียดไม่ได้ ต้องบูรณาการงานทุกกระทรวง เดินหน้ากดดันสแกมเมอร์ในกัมพูชาทุกทาง สร้างอำนาจต่อรองให้กระทรวงการต่างประเทศไปเจรจากดดัน ไม่ลอยตัวเหนือปัญหา ให้เป็นหน้าที่กองทัพ ตำรวจ และกระทรวงการต่างประเทศแก้ปัญหาเองสถานทูตเกาหลียันข่าวปลอมส่วนกรณีมีข่าวนายกฯเกาหลีใต้จะเปิดชื่อนักการเมืองไทย 7 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชานั้น วันเดียวกัน สถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับบทความของสำนักข่าวแห่งหนึ่งลงวันที่ 19 ต.ค. ที่ระบุถึงข่าวดังกล่าวว่า รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลีขอประกาศอย่างชัดเจนว่า คำกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเท็จและไม่มีมูลฐานใดๆ นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐเกาหลีไม่ได้กล่าวถ้อยคำในลักษณะดังกล่าว รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลีมีความเสียใจอย่างมากต่อการเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นเท็จแบบนี้ และจะดำเนินมาตรการที่จำเป็น รวมถึงด้านกฎหมายต่อข่าวสารเท็จดังกล่าวต่อไปคนหายกลายเป็นเหยื่อสแกมเมอร์ส่วนที่ Mirror Art หลักสี่ กทม. วันเดียวกัน นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา พร้อมด้วย นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย แถลงข่าวสถานการณ์ “คนหายสู่อาชญากรรมข้ามชาติ” ในประเทศไทย ที่เชื่อมโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ บัญชีม้า และการค้ามนุษย์ยุคใหม่ ว่าหลังจากตลอดปี 2568 มูลนิธิกระจกเงารับแจ้งคนหายที่ถูกพาไปเป็นสแกมเมอร์ยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเปิดบัญชีม้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งหลอกให้ลงทุนกว่า 119 ราย อายุเฉลี่ย 26 ปี ในจำนวนนี้เป็นชาย 73 ราย หญิง 46 ราย รวมทั้งมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีถึง 18 ราย อายุน้อยสุดเพียง 15 ปี และผู้สูงอายุ อายุมากสุด 65 ปี ตอนนี้แม้มีการปิดชายแดนกัมพูชาแต่ยังมีการหลั่งไหลไปของคนไทยที่ถูกหลอกชักชวนไปทำงาน เมื่อข้ามแดนไปแล้วถูกกักขังในสถานที่ปิด ยากที่จะหลบหนี หากไม่ยอมทำงานอาจไม่ปลอดภัยหรือถูกส่งไปที่อื่น การขาดเสรีภาพเช่นนี้ คือ การบังคับใช้แรงงานโดยสภาพ นี่คือการค้ามนุษย์ยุคใหม่ที่ไม่ต้องใช้การล่ามโซ่ เฆี่ยนตี เป็น “ช่องเทา” ที่บังคับและควบคุมเสรีภาพอย่างแนบเนียนให้ไปทำสิ่งผิดกฎหมาย หลอกลวงคนอื่นอีกทอด ซึ่งเป็นอาชญากรรมข้ามชาติใช้ไทยเป็นทางผ่านรับส่งคนมูลนิธิกระจกเงาเปิดเผยข้อมูลอีกว่า ขณะนี้มีคนหายที่มูลนิธิกระจกเงารับแจ้งเหตุอีก 25 ราย ที่ยังไม่ได้กลับประเทศไทย และกำลังรอความช่วยเหลือ ในจำนวนนี้มีชาวต่างชาติที่เป็นพลเมืองชาวอินเดีย ศรีลังกา ไต้หวัน และจีน ทั้งหญิงและชายรวมอยู่ด้วย จากข้อมูลการรับแจ้งคนหายชาวต่างชาติที่ถูกหลอกให้มาเป็นสแกมเมอร์ พบว่า ประเทศไทยถูกใช้เป็น “ทางผ่าน” และเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อ สำหรับรับ-ส่งคนให้กลุ่มสแกมเมอร์วอนช่วยลูกสาวถูกหลอกไปเขมรนอกจากนี้ ในการแถลงข่าว นางนุชรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) มารดาของเด็กหญิงฟ้า (นามสมมติ) อายุ 16 ปี ลูกสาวหายตัวไป ได้มาร้องขอความช่วยเหลือผ่านสื่อมวลชนไปยังรัฐบาลว่า ลูกสาวเห็นประกาศรับสมัครงานในโลกออนไลน์เป็นงานแพ็กสินค้า โรงงานอยู่ที่ จ.สระแก้ว ได้ไปทำงานกับแฟน อายุ 22 ปี ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 ต่อมาลูกสาวได้โทร.มาขอความช่วยเหลือ บอกว่าถูกหลอกมาทำงานที่ประเทศกัมพูชา ตนจึงไปแจ้งความลูกหายที่ สภ.ปากเกร็ด นนทบุรี ต้องรอให้ลูกสาวติดต่อกลับมาเองเพราะติดต่อลูกสาวไม่ได้ กระทั่งลูกสาวโทร.กลับมาร้องไห้ขอความช่วยเหลือ ยังบอกสถานที่ทำงานไม่ชัดเจน จนตอนนี้ติดต่อลูกสาวไม่ได้มาหนึ่งเดือนแล้ว ยังไม่รู้ว่าลูกสาวจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ขอวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือลูกสาวและคนไทยรายอื่นที่ถูกพาไปทำงานให้ได้กลับประเทศไทยอย่างปลอดภัยรอเช็กสาวเบลารุสถูกหลอกไปพม่าขณะเดียวกัน พล.ต.ต.จตุรภัทร์ ภิรมย์แก้ว ผบก.ตท. และรองโฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีสื่อต่างประเทศรายงานเรื่องนางแบบชาวเบลารุส อ้างว่าถูกหลอกลวงให้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อทำงานเป็นนางแบบ กลับถูกหลอกลวงบังคับทำงานเป็นสแกมเมอร์ในประเทศเมียนมา แล้วถูกฆาตกรรมในเวลาต่อมาว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังตรวจสอบและดำเนินการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับทราบเหตุการณ์ดังกล่าว และให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง และการดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงตามข่าว อยู่ระหว่างการประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ และทางการเมียนมา เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลเตือนข้อเสนองานไม่มีแหล่งที่มารองโฆษก ตร.กล่าวว่า ขอเตือนประชาชนให้ใช้ความระมัดระวัง เมื่อได้รับข้อเสนอการทำงานจากแหล่งที่มาที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในต่างประเทศ โดยไม่มีการตรวจสอบเอกสารหรือความถูกต้องตามกฎหมายอย่างชัดเจน ขอให้ผู้ที่พบเห็นหรือสงสัยว่าอาจมีการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที และจะรายงานความคืบหน้าของคดีนี้ให้สาธารณชนทราบอย่างต่อเนื่องต่อไปเสริมลวดหนามบ้านหนองจานส่วนสถานการณ์การทวงคืนดินแดนบ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 19 ตุลาคม ณ เวลา 16.00 น. ว่าฝ่ายไทยมีชาวบ้านในพื้นที่และมวลชนมาร่วมแสดงกิจกรรมแสดงออกถึงความรักชาติหวงแหนอธิปไตยในพื้นที่บ้านหนองจาน ส่วนฝ่ายกัมพูชา บริเวณ บ.โจกเจย และ บ.เปรยจัน พบความเคลื่อนไหวประชาชน สื่อมวลชน ทหาร และตำรวจ ฝ่าย กพช.คอยติดตามความเคลื่อนไหว/การปฏิบัติของฝ่ายไทย ประมาณ 40-50 คน ขณะที่กองกำลังบูรพา (กกล.บูรพา) จัดกำลังป้องกันในพื้นที่ตอนในบ้านหนองจาน เสริมแนวลวดหนามชั้นในเพื่อป้องกันมวลชนไทยรุกล้ำเข้าเขตปฏิบัติการของหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผนเตรียมเคลียร์พื้นที่ มีชุดทหารช่างดำเนินการทำเส้นทางและปรับสภาพพื้นที่การปฏิบัติในพื้นที่บ้านหนองจาน ทั้งนี้ ในวันที่ 20 ต.ค. พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1/ผบ.ศปก.ทภ.1 เดินทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว เพื่อติดตามสถานการณ์และความคืบหน้าภารกิจการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน และรับทราบความคืบหน้าการคืนพื้นที่ปลอดภัยบ้านหนองหญ้าแก้วกต.ยันไม่คุยเรื่องฟื้นฟูสันติภาพสำหรับการเตรียมความพร้อมในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 ต.ค.นี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงผลการหารือ 4 ฝ่าย ระหว่างมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา ไทย และกัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซีย ว่าการพูดเรื่องการถอนกำลังและการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและจะทำคำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่กำหนดแนวทางแก้ปัญหา วันที่ 20-21 ตุลาคม จะมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ที่ลงรายละเอียด ส่วนการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชา 18 นาย ต้องทำเรื่องที่จะตกลงกันก่อน และจะอยู่ในคำประกาศ ส่วนการที่กัมพูชาจะนำเรื่องไทยทำสงครามจิตวิทยาคุกคาม กรณีบ้านหนองจาน ไปร้องข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนยูเอ็น ทั้ง 2 ประเทศ มองว่าต้องหารือในทวิภาคี ที่สหรัฐฯ และมาเลเซีย ก็เห็นด้วย ยืนยันไม่ได้พูดคุยเรื่องที่ฝ่ายกัมพูชาร่าง 9 เงื่อนไข ฟื้นฟูสันติภาพและไทยต้องรับทุกข้อเสนอโพลชี้คนยังปลื้มกองทัพวันเดียวกัน “นิด้าโพล” เปิดเผยผลสำรวจประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง “คนไทยยังอดทนอยู่หรือเปล่า?” สำรวจระหว่างวันที่ 14-16 ต.ค.2568 เมื่อถามถึงความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆ จากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พบว่า ร้อยละ 53.67 ระบุว่า พอใจกองทัพมาก ร้อยละ 34.66 ระบุว่าค่อนข้างพอใจ กระทรวงการต่างประเทศ ร้อยละ 38.32 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจรัฐบาลไทย เมื่อถามถึงความอดทนของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ ภาพรวมของประชาชนทั้งประเทศร้อยละ 40.53 ระบุว่า ยังมีความอดทนอยู่พอประมาณ รองลงมาร้อยละ 24.43 ระบุว่า หมดความอดทนแล้ว ร้อยละ 19.69 ระบุว่า เริ่มไม่ค่อยมีความอดทนแล้ว เมื่อถามถึงความกังวลจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ร้อยละ 44.05 ระบุว่า สถานการณ์ความขัดแย้งจะยืดเยื้อยาวนานไม่จบ รองลงมาร้อยละ 41.76 ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดน ร้อยละ 31.15 ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่เจ้าหน้าที่รัฐ อาสาสมัคร ทหาร ตำรวจ ตามแนวชายแดนเชียร์ให้ปิดด่านต่อไปสำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 35.19 ระบุว่า กดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การปิดด่านต่อไปอย่างจริงจัง งดการนำเข้าส่งออกในทุกกรณี รองลงมาร้อยละ 33.97 ระบุว่า ทำอย่างไรก็ได้แต่ต้องไม่เสียดินแดนและไม่เสียเปรียบให้กัมพูชา ร้อยละ 24.81 ระบุว่า เปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายอย่างจริงจังอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่