“ตลาดแสงจันทร์” ท้ายซอยเจริญกรุง 67 เป็นตลาดเก่าแก่ ผู้คนย่านนี้ต้องมาจับจ่ายซื้อของสด สมัยก่อนเป็นแหล่งที่พักอาศัยของคนจีนหนาแน่น รวมถึงคนงานตลาดสะพานปลาเจริญกรุง แต่ปัจจุบันแรงงานย้ายไปทำงานที่ตลาดมหาชัย ทำให้ผู้คนในซอยไม่คึกคักเหมือนก่อน แต่การค้าขายยังคงมีตลอดสองข้างทาง โดยร้านเล็กร้านน้อยค้าขายกันมาช้านาน สะดุดตาที่สุดต้องยกให้ร้านขายขนมเปี๊ยะสูตรจีนแต้จิ๋ว“คุณชายตะลอนชิม” สัปดาห์นี้ “คุณชายแป๊ะ” ขอแนะนำร้าน “ลี้เล่าติ๊กเฮง” ของ “เจ๊เฮี้ยง–พัชมณฑ์ ภัทรวิเศษพงศ์” อายุ 72 ปี และ “นายเคี้ยงปิว แซ่ลี้” อายุ 79 ปี สองสามีภรรยาที่สืบทอดตำนานขนมเปี๊ยะสูตรโบราณมาเป็นรุ่นที่ 3 และส่งต่อให้ทายาทรุ่นที่ 4 สืบสานตำนานขนมเปี๊ยะ “ลี้เล่าติ๊กเฮง” ให้คงอยู่ ร้านนี้หาไม่ยาก เข้ามาจากซอยเจริญกรุง 67 มีถนนซอยจันทน์ 42 ตัดผ่าน ตรงเข้าไปท้ายซอยเจริญกรุง 67 เพียง 100 เมตร ฝั่งซ้ายมือมีลานจอดรถเอกชนเก็บค่าบริการชั่วโมงละ 20 บาท เดินออกจากลานจอดรถก็จะเจอร้านขนมเปี๊ยะ “ลี้เล่าติ๊กเฮง” อยู่ฝั่งตรงข้ามพอดีร้านตึกแถว 1 คูหา มีตู้โชว์ขนมตั้งอยู่หน้าร้าน มองเห็นขนมเปี๊ยะหลากหลายไส้วางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้านบนมีขวดโหลแก้วใบใหญ่บรรจุทั้ง ถั่วตัด, งาพอง, ข้าวพอง และฟัก ด้านในร้านมีชั้นไม้โบราณวาง “ขนมเปี๊ยะ” ไว้พร้อมขาย บรรยากาศของร้านดูเก่าแก่โบราณ และในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทางร้านจะมี “ขนมไหว้พระจันทร์” จำหน่ายให้ลูกค้านำไปไหว้ สร้างความรัก, ความอบอุ่น และความเจริญรุ่งเรืองให้แก่คนในครอบครัว “เจ๊ครับ ผมขอซื้อถั่วตัดหน่อยครับ” ผมร้องเรียกให้เจ๊เฮี้ยงที่กำลังผึ่งขนมไหว้พระจันทร์ให้คลายร้อนถั่วตัดในโหลแก้วถูกหยิบใส่ถุงชั่งน้ำหนัก 1 ขีดตามสั่ง ผมไม่รีรอหยิบถั่วตัดออกมาจากถุงและกัดหมับเข้าทันที ความกรอบของน้ำตาลเคี่ยวแบะแซทำเอาเกล็ดน้ำตาลและงาขาวกระเด็นติดอยู่รอบปาก เมล็ดถั่วลิสงวางเรียงเต็มแผ่นกรุบกรอบดี รสชาติหวานมันอร่อย ทำให้รู้ทันทีว่าขนมร้านนี้ต้องมีดีแน่นอน เพราะขนาดถั่วตัดยังอร่อยขนาดนี้ ผมไม่ลังเลที่จะสั่งขนมเปี๊ยะทั้งลูกเล็กลูกใหญ่มาลองชิมขนมเปี๊ยะแป้งบางๆกัดเข้าไปได้รสชาติความหวานมันของถั่ว ตัดด้วยรสเค็มของไข่แดงนัวอยู่ในปาก ผมยังไม่ทันเคี้ยวหมดเจ๊เฮี้ยงก็เสิร์ฟน้ำชาอุ่นๆ นั่งจิบชาฟังเพลงในยามสายช่างเพลิดเพลินอารมณ์ดีจริงๆ เจ๊เฮี้ยงอธิบายการทำขนมเปี๊ยะแบบโบราณว่า “ใช้แป้งหมี่นวดกับน้ำมัน ส่วนไส้ใช้ถั่วเขียวซีกล้วนไม่มีการผสมแป้ง นำไปนึ่งให้สุกแล้วมาร่อนเปลือกออก แล้วนำเนื้อถั่วไปเคี่ยวกับน้ำตาลทรายให้เนื้อเนียน เติมแบะแซ และเติมเกลือตัดรสชาตินิดหน่อย ไข่เค็มของเราใช้ไข่เค็มที่ดองมาเป็นฟอง ก่อนจะคัดเอาแต่ไข่แดงดิบมาใช้ ไม่ได้ใช้ไข่แดงเค็มแบบสำเร็จรูป ถ้าเป็นขนมเปี๊ยะลูกใหญ่น้ำหนัก 500 กรัม จะนำ ไข่แดงเค็มไปนึ่งให้สุกประมาณ 50% เวลาอบจะสุกพอดี แต่ถ้าเป็นขนมเปี๊ยะลูกเล็กใส่ไข่แดงดิบได้เลย อบออกมาจะสุกถึงข้างในพอดี ส่วนขนมเปี๊ยะไส้ถั่วเขียวงาดำ ต้องใช้เวลาเคี่ยวไส้นานถึง 2 วัน กว่าที่เนื้อถั่วกับงาดำจะเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ด้านหน้าโรยงาดำ และไส้เค็มใช้งาขาวบดละเอียด ผสมกับฟัก, ลูกบัวเชื่อม, เม็ดแตง ได้ความหวานมาจากตัวไส้ไม่มีการเติมน้ำตาลเพิ่ม”“ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่นี่ก็จะมีขนมไหว้พระจันทร์ไว้จำหน่ายแต่ปีนึงก็จะทำเพียงแค่หนเดียวเท่านั้น” เจ๊เฮี้ยงบอก ผมขอชิมขนมไหว้พระจันทร์ทั้งไส้ทุเรียนหมอนทองและโหงวยิ้ง เป็นไส้รวมธัญพืชหลายชนิด รสชาติของทุเรียนหมอนทองนั้นหอมทุเรียนขึ้นจมูก เนื้อแป้งภายนอกนุ่มกัดเข้าไปแล้วได้รสหวานของทุเรียนเนียนละมุน ตัดด้วยรสเค็มจากไข่แดง ส่วนขนมไหว้พระจันทร์ไส้โหงวยิ้งมีความกรุบกรอบของธัญพืช เคี้ยวเพลิน รสหวานกำลังดี “ร้านเราจะทำขนมไหว้พระจันทร์ในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ไส้ทุเรียนใช้ทุเรียนหมอนทองกวน ไส้โหงวยิ้ง มีเม็ดอัลมอนด์ เฮ่งยิ้ง มะม่วงหิมพานต์ ลูกบัว เม็ดแตง ฟัก งา และส้มจีนอบแห้งแกะเม็ดออกแล้วนำมาบดผสมเป็นไส้ แป้งจะแตกต่างจากแป้งขนมเปี๊ยะมีความนิ่มกว่า ตัวไส้ขนมไหว้พระจันทร์ต้องกวนให้เสร็จก่อนแล้วจึงนำแป้งมาห่อ นำไปเข้าพิมพ์แล้วเคาะออกมาก่อนนำไปอบ ร้านเราเป็นเพียงร้านเล็กๆ ปีนึงทำครั้งเดียวเท่านั้น” เจ๊เฮี้ยงลำดับขั้นตอนการทำ เจ๊เฮี้ยงเดินไปที่โหลแก้วหน้าร้าน พร้อมหยิบขนม “ข้าวพอง” มาให้ชิม “เดี๋ยวนี้หากินแบบนี้ยากมากแล้วนะ”ผมรับขนม “ข้าวพอง” มากิน ยอมรับว่า กินครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ก็จำความไม่ได้ ลองกัดเข้าไปได้ความกรอบของผิวชั้นนอก ตัวแป้งมีความหนึบรสหวานกำลังดี มีความหอมของงาขาว แอบเห็นราคาขายของโหลแก้ว กิโลกรัมละ 300 บาท ราคาสูงกว่าขนมอย่างอื่นเลยเกิดความสงสัยว่าการทำยากง่ายเพียงใด เจ๊เฮี้ยงเหมือนเดาสีหน้าผมออกเลยอธิบายว่า “ข้าวพองขั้นตอนการทำค่อนข้างยุ่งยาก ต้องนำเอาข้าวเหนียวไปแช่น้ำ แล้วเอาไปโม่ให้เป็นแป้ง จากนั้นต้องนำมานวดแล้วนำไปนึ่งให้สุก ต่อจากนั้นจึงตีให้เหนียว เสร็จแล้วถึงจะเอาไปบด แล้วตากแดดให้แห้ง ตีแป้งที่ได้ออกมาเป็นเส้นๆ ตัดเป็นชิ้น กว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลา 3 วัน พอแป้งแห้งดีแล้วจึงนำไปทอด สุดท้ายนำมาเคลือบน้ำตาลกับงาขาว” ผมนั่งฟังไปด้วยความทึ่ง รับรองว่าถ้าคนรู้วิธีการทำ “ข้าวพอง” จะรับรู้ถึงความคุ้มค่าที่ได้ชิมจริงๆ เจ๊เฮี้ยงเล่าว่า “เล่าติ๊กเฮง แปลว่า เก่าแก่ โบราณ สืบทอดตำนานขนมเปี๊ยะมาตั้งแต่รุ่น เหล่ากงที่โล้สำเภามาจากเมืองจีน ขายขนมเปี๊ยะต่อเนื่องกันมานานนับ 100 ปีแล้ว ทุกวันนี้ขายขนมได้เพราะลูกค้าที่สั่งกันมาช้านาน มีลูกชายรับช่วงทำต่อเป็นรุ่นที่ 4 ทุกวันนี้เด็กรุ่นใหม่เขาหันไปกินขนมเค้ก ขนมปังกันหมด อยากฝากว่า อย่าลืมขนมโบราณอย่างขนมเปี๊ยะ เพราะตามความเชื่อการไหว้เจ้าและทานขนมเปี๊ยะจะทำให้การทำมาหากินคล่องตัว ทำมาค้าขึ้น” สนนราคา ขนมเปี๊ยะไส้เค็ม ชิ้นละ 12 บาท, ขนมเปี๊ยะไส้ถั่วฟัก ขนาด 500 กรัม 100 บาท, ไส้ถั่วเหลือง ชิ้นละ 100 บาท, ไส้โหงวยิ้งไข่แดง 2 ฟอง ชิ้นละ 120 บาท, ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนหมอนทอง ชิ้นละ 105 บาท, ขนมไหว้พระจันทร์ทุเรียนหมอนทองไข่แดง 2 ฟอง ชิ้นละ 115 บาท และทุเรียนหมอนทองไข่แดง 1 ฟอง ชิ้นละ 110 บาท, ขนมไหว้พระจันทร์โหงวยิ้ง 110 บาท, โหงวยิ้งไข่แดง 1 ฟอง 115 บาท, ถั่วตัดราคากิโลกรัมละ 118 บาท แบ่งขายเป็นขีดละ 20 บาท, งาตัดกิโลกรัมละ 180 บาท, ข้าวพองกิโลกรัมละ 190 บาท, ฟักกิโลกรัมละ 180 บาท และงาพองกิโลกรัมละ 300 บาท ร้าน “ลี้เล่าติ๊กเฮง” เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00 น. ถึง 19.00 น. โทรศัพท์ 0-2211-3747.คุณชายแป๊ะคลิกอ่านคอลัมน์ “คุณชายตะลอนชิม” เพิ่มเติม