เหตุระทึกกลางดึกในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี “สิงโตเพศผู้ของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง” หลุดโซ่ล่ามในบ้านพักออกมาทำร้ายเด็กชายวัย 11 ปี จนได้รับบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นข่าวใหญ่สร้างแรงสะเทือนในหมู่นักอนุรักษ์ออกมาแสดงความห่วงใยในความเหมาะสมของการอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ป่าดุร้ายนี้ซึ่งสะท้อนช่องโหว่กฎหมายที่ “อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ป่าได้โดยง่าย” มักจะนำไปสู่การเปิดช่องว่างก่อให้เกิดการเพาะพันธุ์ และครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง เพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์อย่างถูกต้องตามเอกสารในการฟอกสัตว์ป่าจากธรรมชาติเข้าระบบที่เกิดในฟาร์มนั้น ทัศไนย ไชยแขวง ทนายความอิสระ เล่าให้ฟังว่าเหตุการณ์สิงโตเลี้ยงโดยบุคคลทั่วไป “หลุดออกมาทำร้ายเด็ก” สร้างความตระหนกวิตกกังวลแก่สังคมไทยเป็นอย่างมาก และสะท้อนปัญหาซ่อนอยู่เบื้องหลังคือ “ความล้มเหลวของระบบควบคุมการครอบครองสัตว์ป่าในไทย” นำไปสู่คำถามเชิงกฎหมาย และนโยบายที่มีอยู่เพียงพอในการควบคุมการครอบครองสัตว์หรือไม่เพราะการครอบครองสัตว์ป่าภายใต้ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ม.17 กำหนดชัดว่าห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครอง ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนสัตว์ป่าคุ้มครอง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอุทยานฯ แม้ว่ากฎหมายจะเปิดช่องให้สามารถขออนุญาตได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด “ในทางปฏิบัติกลับพบมีผู้ขออนุญาตบางราย” มิได้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการอนุรักษ์หรือศึกษาอย่างแท้จริง “แต่ใช้ใบอนุญาตเป็นเกราะกำบังทางกฎหมาย” เพื่อดำเนินธุรกิจเพาะพันธุ์สัตว์ และค้าสัตว์ป่า ก่อให้เกิดลักษณะธุรกิจเชิงพาณิชย์แฝงเกิดขึ้นมากมายอย่างกรณีต้นปีนี้ “อดีตสามีนางแบบชื่อดัง” ถูกจับกุมใน จ.กาญจนบุรี ลักลอบเลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครองหายากนำเข้าหลายชนิด ตำรวจแจ้งข้อหาครอบครองสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และส่งดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “ควรต้องมีมาตรการควบคุม ตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด” เพื่อป้องกันการใช้ช่องว่างของกฎหมายไปในทางที่ผิด หากมีการออกใบอนุญาตแล้วต้องติดตามการดำเนินงานของผู้ได้รับอนุญาตอย่างสม่ำเสมอ “ป้องกันการเบี่ยงเบน” จากวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในใบอนุญาตความจริงเรื่องนี้แม้กฎหมายวางหลักไว้เข้มงวด “แต่การบริหารกลับมีช่องว่าง” อย่างเช่นกรณีการไม่จำกัดจำนวนสัตว์ที่สามารถเลี้ยงได้ต่อราย และระบบตรวจสอบความพร้อมของสถานที่เลี้ยงสัตว์ที่เป็นมาตรฐาน หรือฐานข้อมูลกลางในการตรวจสอบย้อนกลับว่าสัตว์ที่ครอบครองมาจากการนำเข้าถูกกฎหมายก็ไม่ครอบคลุมผลคือบางคนครอบครองสัตว์ป่าหลายชนิดทั้งสิงโต เสือ “อ้างได้รับอนุญาตแล้ว” ทั้งที่พื้นที่ไม่มีระบบความปลอดภัยต่อชุมชนจนสร้างความเสี่ยงต่อสาธารณะ เหตุนี้การเลี้ยงสัตว์ป่าในที่อาศัยไม่เพียงแต่เป็นภัยในเชิงความปลอดภัย แต่ยังเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเชิงสังคม และการละเมิดสวัสดิภาพสัตว์ตามหลักสากล เพราะการเลี้ยงในกรงมีพื้นที่จำกัด “ไม่เพียงขัดต่อธรรมชาติของสัตว์” แต่กลับยังส่งผลกระทบทางจิตใจให้สัตว์เกิดความเครียดที่อาจแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้เสมอเหตุนี้การอนุญาตให้ครอบครองสัตว์ป่า “ไม่ควรพิจารณาเพียงตามกรอบของกฎหมาย” แต่ควรคำนึงถึงมิติของความปลอดภัย สวัสดิภาพสัตว์ และผลกระทบต่อสังคมโดยรวมมาเป็นองค์ประกอบการพิจารณาด้วยถ้าย้อนดูกรณีสิงโตทำร้ายเด็กทำให้เห็น “สัญชาตญาณสัตว์ป่านำสู่เหตุรุนแรงได้เสมอ” เจ้าของก็มีความผิด ป.อาญา ม.377 และความผิดทางแพ่งตาม ป.พ.พ.ม.433 ต้องชดใช้ความเสียหายที่เกิดจากสัตว์ที่ตนเลี้ยงสิ่งสำคัญคือ “คำถามทางศีลธรรมว่ามนุษย์มีสิทธิใดนำสัตว์ป่ามาเป็นเครื่องมือ” เพื่อความบันเทิงสร้างความสุขความพอใจในทางส่วนตัว เพราะสิทธินั้นกระทบต่อสวัสดิภาพของสัตว์ และผู้คนรอบข้างมากมาย หากพูดถึงประเด็น “ธุรกิจสัตว์ป่าในไทย” ปัจจุบันมีธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายรูปแบบ เช่น ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้รับอนุญาตเพาะพันธุ์ และจำหน่ายสัตว์บางชนิด รวมถึงสวนสัตว์เอกชน และคาเฟ่สัตว์แปลกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมถ่ายภาพ แถมยังมีตลาดซื้อขายออนไลน์ที่เติบโตรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลฯทั้งหมดนี้มักถูกอ้างว่า “ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย” เพราะด้วยการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของสัตว์ รวมถึงระบบฐานข้อมูลของภาครัฐยังไม่ครอบคลุมไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจเหล่านี้นอกจากนี้ ยังมีเพาะพันธุ์เชิงพาณิชย์โดยอ้างว่า “สัตว์ตกลูกในฟาร์ม” ทั้งที่อาจมีการนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมายด้วยซ้ำ เพราะม.29 และ ม.31 พ.ร.บ.สงวนฯกำหนดการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครองต้องได้รับอนุญาต และลูกสัตว์ที่เกิดจากการเพาะพันธุ์จะถือเป็นทรัพย์สินของผู้เพาะพันธุ์หากมีการแจ้งการเกิดต่อเจ้าหน้าที่ในเวลาที่กำหนดแต่กฎหมายไม่จำกัดการเพาะพันธุ์ และรอบการขาย ทำให้ฟาร์มเพาะพันธุ์มากมายกลายเป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ เช่น ฟาร์มสิงโต เสือ นกแปลก แล้วการตรวจสอบว่าลูกสัตว์เกิดจากพ่อแม่พันธุ์ที่จดทะเบียน หรือนำมาจากธรรมชาติก็ทำได้ยาก ทำให้เกิดช่องทางการฟอกสัตว์ป่าถูกต้องตามเอกสารแต่ผิดเจตนารมณ์กฎหมายหากเปรียบเทียบในหลายประเทศ “กำหนดมาตรการควบคุมการครอบครองสัตว์ป่าเข้มงวดมาก” โดยจะอนุญาตเฉพาะกรณีที่มีวัตถุประสงค์ด้านการอนุรักษ์ การศึกษา หรือประโยชน์สาธารณะเท่านั้น ผู้เลี้ยงต้องผ่านการตรวจสอบสภาพแวดล้อม ระบบความปลอดภัย และต้องมีการทำประกันภัยคุ้มครองบุคคลภายนอก แนวทางนี้สะท้อนหลักการว่า “สัตว์ป่าคือทรัพยากรธรรมชาติมิใช่ทรัพย์สินส่วนบุคคล” รัฐควรมีระบบติดตามหลังการอนุญาต มีฐานข้อมูลกลางดิจิทัล เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มา และการเคลื่อนไหวของสัตว์ป่าได้จึงมีข้อเสนอปรับปรุงกฎหมายและนโยบาย 6 เรื่อง คือ 1.ทำทะเบียนสัตว์ป่ากลางแบบดิจิทัลตรวจแหล่งกำเนิดสัตว์ได้2.กำหนดจำนวนสัตว์สูงสุดที่ครอบครองได้ต่อราย เพื่อลดการเพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ 3.บังคับตรวจ DNA ฝังไมโครชิปในสัตว์ป่าทุกตัวที่ครอบครองหรือจำหน่าย 4.เพิ่มบทลงโทษ 5.จัดตั้งระบบประกันภัยภาคบังคับสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์ป่า และ 6.ส่งเสริมแนวคิดคืนสัตว์ป่าสู่ธรรมชาติ และจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสัตว์ป่าในทุกภูมิภาคสุดท้ายนี้กรณีสิงโตทำร้ายเด็กไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุ แต่กำลังเป็นสัญญาณทางกฎหมาย และสังคมขาดระบบควบคุมการเลี้ยง การค้าสัตว์ป่า แม้ว่ากฎหมายที่มีอยู่จะวางหลักการดี แต่ก็ยังเปิดช่องให้ใช้ในเชิงธุรกิจฉะนั้น การปรับปรุงกฎหมาย “ควรมุ่งสู่การสร้างสมดุลระหว่างสิทธิ ส่วนบุคคล ความปลอดภัยสาธารณะ รวมถึงการอนุรักษ์สัตว์ป่า” เพื่อไม่ให้สัตว์ป่ากลายเป็นเหยื่อของธุรกิจ หรือความบันเทิงของมนุษย์ และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม