ตกตะลึงขวัญผวากันทั้งประเทศ “เมื่อสิงโตเพศเมียหลุดโซ่ที่ล่ามไล่ทำร้ายเด็ก 11 ขวบ ใน จ.กาญจนบุรี” โชคดีมีพลเมืองดีเข้าไปช่วยชีวิต และควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมเหตุการณ์นี้สังคมต่างตั้งข้อสงสัยว่า “ทำไมสัตว์ป่าดุร้าย” ที่ควรอาศัยอยู่ในธรรมชาติ หรือเขตควบคุมเฉพาะกลับถูกนำมาเลี้ยงอยู่กลางย่านที่อยู่อาศัยของประชาชน แม้เป็นสัตว์ป่าควบคุมที่ภาครัฐอนุญาตก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด ทำให้เกิดกระแสการเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งตรวจสอบผู้ที่ครอบครองทั้งประเทศเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกในอนาคต คมเพชญ จันปุ่ม ประธานเครือข่ายทนายชาวบ้าน บอกว่า ปกติคนทั่วไปสามารถเลี้ยงสิงโต เสือได้ เพราะเป็นสัตว์ป่าควบคุม ชนิด ก. แต่การเลี้ยงต้องได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 และระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พ.ศ.2565เช่นนี้ผู้เลี้ยงสิงโตจะนำเข้าไปในบ้าน “คงต้องจดแจ้งกับกรมอุทยานแห่งชาติฯก่อน” เพื่อระบุตัวตนด้วยไมโครชิปจะช่วยยืนยันสัตว์ให้ตรงกับเอกสารการครอบครอง และเป็นหลักฐานในการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ในกรณีสัตว์หลุด หรือก่อปัญหารุนแรงจะสามารถตรวจสอบยืนยันตัวตนหาผู้ครอบครองได้โดยง่ายในส่วนสถานที่เลี้ยงนั้น “ต้องมีพื้นที่กว้างขวางและปลอดภัย” อย่างเช่นกรง หรือคอกควรแข็งแรง และขนาดเหมาะสม “การดูแลสุขภาพ” ก็ต้องเป็นไปตามมาตรฐานในการเลี้ยงมีสัตวแพทย์ดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดนอกจากนี้การเลี้ยงสัตว์ป่าดุร้าย “พื้นที่ต้องมีกรงเหล็กแข็งแรงสูงพอ” ทั้งมีระบบล็อกนิรภัย กล้องวงจรปิด และมาตรการป้องกันการหลบหนี แต่หากการครอบครองโดยไม่แจ้งอย่างถูกต้องก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2562 ม.90 โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับสำหรับการป้องกัน“การเลี้ยงสัตว์ป่าดุร้ายต้องจำกัดพื้นที่อย่างเหมาะสม” เพราะสัตว์เหล่านี้มีสัญชาตญาณรุนแรง โดยเฉพาะช่วงฤดูผสมพันธุ์ไม่อาจปล่อยให้วิ่งเล่นเหมือนสัตว์เลี้ยงทั่วไปได้ “ต้องดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายเคร่งครัด” เพื่อไม่ให้สัตว์ไปสร้างความเดือดร้อน ความหวาดกลัวให้ชาวบ้าน หรือบุคคลภายนอกประการสำคัญหากปล่อยให้ “สัตว์ดุร้ายหลุด” มักจะต้องมีความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ม.15 ห้ามมิให้ผู้ใดทิ้งหรือปล่อยสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นอิสระ หรือหลุดพ้นจากการดูแลของตนไม่เท่านั้นยังรวมถึงกรณีก่อความรำคาญ เช่น เสียงคำรามยามค่ำคืน หรือกลิ่นเหม็นจากของเสียที่ไม่ได้จัดการอย่างถูกสุขลักษณะ ส่งผลต่อความสงบของชุมชนโดยรอบ ก็มีความผิดตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ด้วยแน่นอนว่า “สัตว์ดุร้ายหลุดทำร้ายผู้อื่น” เจ้าของมักมีความผิดตามผลการบาดเจ็บอย่าง ป.อาญา ม.377 ผู้ควบคุมสัตว์ร้ายปล่อยปละละเลยอาจทําอันตรายบุคคลหรือทรัพย์ มีโทษจำคุก 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทแม้แต่พฤติกรรมคุกคาม “เดินวนหน้ารั้ว โผล่หน้า หรือแสดงท่าขู่” ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัว หรือหลุดออกจากกรงจนเข้าใกล้คน หรือสัตว์อื่น แม้จะยังไม่ได้ทำร้ายใครก็ตาม “แต่ก็ก่อให้เกิดความหวาดกลัว” สร้างความเดือดร้อน เช่น คนเห็นตกใจหวาดกลัววิ่งหนีย่อมเข้าข่ายความผิดตาม ป.อาญา ม.377 นี้ด้วยเช่นกันดังนั้น ผู้ควบคุมต้องใช้ความระมัดระวัง “ไม่ให้สัตว์ไปก่ออันตราย” จนสร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่น และจำเป็นต้องมีการจัดการกรงให้มีความมั่นคงแข็งแรง และดูแลความสะอาดของเสียอย่างสม่ำเสมอด้วยถ้าสัตว์ทำร้ายผู้อื่น “บาดเจ็บ” มักเข้าความผิดประมาทตาม ม.300 ผู้ใดกระทำโดยประมาทจนผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสย่อมมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท แต่หากทำร้ายจนถึงแก่ความตายก็เข้าข่าย ม.291 ผู้ใดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายต้องโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาทยิ่งกว่านั้น “ผู้เสียหายยังเรียกร้องทางแพ่งได้อีก” ตาม ป.พ.พ.ม.420 ในเรื่องการกระทำละเมิดก็ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ค่ารักษา ค่าขาดรายได้ หรือค่าสินไหมทดแทนกรณีการบาดเจ็บ-เสียชีวิต และตาม ม.433 หากสัตว์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น “เจ้าของสัตว์หรือผู้ดูแลสัตว์แทนเจ้าของ” ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ “ใช้ความระวังตามสมควร” ตามชนิดของสัตว์ ลักษณะนิสัย หรือพฤติการณ์อื่น หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นแม้ระมัดระวังอย่างดีที่สุดแล้วก็ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ และวรรคสอง...บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับผู้เร้า หรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้นก็ได้ตัวอย่างเช่นสิงโตกัดคนเดินผ่านหน้าบ้าน “เจ้าของต้องรับผิด” แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าคนนั้นเอาไม้ตีสิงโตก่อนอาจจะไม่ต้องรับผิดเต็มจำนวนหรือสามารถไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายคืนจากผู้ก่อเหตุได้ประเด็นตามนิยามทางกฎหมาย “สัตว์ดุร้าย” ไม่ได้จำกัดแค่สิงโต หรือเสือ แต่รวมถึงสัตว์เลี้ยงทั่วไปอย่างหมา แมว หากมีพฤติกรรมก้าวร้าวออกนอกเขตบ้านแล้วไปวิ่งไล่กัดทำร้ายผู้อื่น หรือทรัพย์สินผู้อื่น “เจ้าของหรือผู้ดูแลย่อมต้องมีความรับผิดตาม ป.อาญา ม.377” เพราะบัญญัติมาตรานี้แบ่งสัตว์อันตรายออกเป็น 2 จำพวก คือ...จำพวกแรก...“สัตว์ร้าย” เป็นสัตว์โดยธรรมชาติ มีลักษณะดุร้ายอันตรายเป็นปกติ เช่น เสือ สิงโต ถือเป็นภัยน่าสะพรึงกลัวต่อผู้พบเห็น และอีกจำพวก “สัตว์ดุ” โดยธรรมชาติไม่ใช่สัตว์ร้ายแต่มีนิสัยดุอาจก่ออันตรายได้ เช่น สุนัขบางสายพันธุ์ ซึ่งเจ้าของต้องควบคุมพิเศษ เช่น ล่ามโซ่ขังกรง ถ้าปล่อยปละละเลยก็ต้องรับผิดตามกฎหมายทว่าในกรณี “สัตว์จรจัดกัดคนหรือทำลายทรัพย์ผู้อื่น” ในแง่ความรับผิดชอบตามกฎหมายหากมีผู้ให้อาหาร ดูแล หรือเลี้ยงดูอย่างสม่ำเสมอจนมีลักษณะเป็นเจ้าของก็อาจถูกพิจารณาว่าเป็นผู้รับผิดตามกฎหมายได้ เช่น สุนัขจรจัดมาอาศัยนอนอยู่หน้าบ้าน และเจ้าของบ้านได้ให้ข้าวกินประจำเช่นนี้ย่อมเป็นเหมือนเจ้าของสุนัขนั้นแม้เป็นสัตว์จรจัดหากไปทำร้ายผู้อื่น “ผู้ดูแล” ก็ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญาตามที่กล่าวไปนั้น แต่ถ้าแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่ดำเนินการกับสัตว์จรจัดอาจเข้าข่ายละเลยต่อหน้าที่ และหากไปก่อความเดือดร้อนหรือทำร้ายผู้อื่น “ผู้เสียหาย” ฟ้องร้องให้หน่วยงานนั้นชดใช้ค่าเสียหายได้ ถ้าพบว่ามีความบกพร่องละเลยต่อหน้าที่ย้ำว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ “อาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย” หากไม่มีการควบคุมอย่างแท้จริง เพราะสัตว์ป่าควบคุมถ้าไร้ซึ่งการควบคุมก็ไม่ต่างจากอันตรายที่เดินได้ เช่นนี้จึงฝากไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำกลับไปทบทวนมาตรการดูแลสัตว์ป่าอันตรายในครอบครองของบุคคลทั่วไปด้วย...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม