แม้การสู้รบระหว่างไทยกับ กัมพูชาจะยุติลงแต่สถานการณ์ยังคงเปราะบาง สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันอีกได้ทุกเมื่อ แต่ในความตึงเครียดสองประเทศ สิ่งหนึ่งที่ถูกเปิดเผยออกมาก็คือ “ธุรกิจมืด” และ “ส่วย” ที่เกิดขึ้นบริเวณรอยต่อชายแดนไทย-กัมพูชาทีมข่าว “SEE TRUE” ไทยรัฐทีวี ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ทั้งในอำเภออรัญประเทศ และอำเภอโคกสูง เพื่อติดตามการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง กลับพบข้อมูลว่า...มีข้าราชการกรมการปกครองจำนวนไม่น้อยเกี่ยวข้องกับ “ธุรกิจมืด” และ “การรับส่วย”?ทีม SEE TRUE ติดตามปฏิบัติการของทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 กองกำลังบูรพา ตลอดคืนหนึ่งบริเวณพื้นที่รอยต่อตำบลฟากห้วยและตำบลผ่านศึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว หลังจากทหารหน่วยเฉพาะกิจนี้ ซึ่งเป็นทหารจากค่ายในปราจีนบุรี ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในพื้นที่ ในห้วงที่ไทยสู้รบกับกัมพูชา ...ได้เห็นกับตาตัวเองว่า...มีขบวนการลักลอบขนคนข้ามแดน โดยเฉพาะในตำบลผ่านศึกคนในพื้นที่เรียกขบวนการนี้ว่า “ขบวนการขนเขมร”แต่ไม่ได้ขนเฉพาะคนกัมพูชาลอบข้ามแดนมาฝั่งไทยเท่านั้น พวกเขารับขนทั้งคนไทยลอบข้ามแดนไปเป็นบัญชีม้าและทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขนคนจีนที่เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์รวมทั้งขนของเถื่อนจากกัมพูชา โดยเฉพาะบุหรี่ที่น่าตกใจข้อมูลที่รู้มาคนที่ร่วมขบวนการนี้...ล้วนเป็นบรรดาข้าราชการกรมการปกครอง? ซึ่งเป็นผู้นำท้องถิ่นในตำบลผ่านศึกจำนวนหลายคน และมีลูกน้องในเครือข่ายที่เป็นชาวบ้านทั่วไป ทำหน้าที่ดูต้นทาง ขับรถขนคน และสิ่งผิดกฎหมาย...หากข้อมูลข้างต้นนี้เป็นเรื่องจริง ถือเป็นสิ่งที่น่าตกใจและเป็นความล่อแหลมทางจริยธรรมอย่างมากเลยทีเดียวประเด็นสำคัญมีว่า...ขบวนการนี้มีหูตาเป็นสับปะรด ก่อนขนคนจะมีคนขี่รถจักรยานยนต์ดูต้นทางว่ามีเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจตรงไหนหรือไม่ ถ้าเส้นทางปลอดภัยจะให้รถยนต์ 2 คัน เข้าไปรับคนกัมพูชา ที่ลอบข้ามแดนเข้ามา รอตามไร่อ้อยแนวชายแดน โดยจะให้นั่งอัดกันในรถคันที่ 2ส่วนรถคันแรกจะทำหน้าที่ขับนำ...ถ้าบังเอิญเจอด่าน รถคันแรกจะวิ่งเข้าด่านตรวจ เพราะไม่มีคนกัมพูชานั่งมาด้วย ตรวจอย่างไรก็ไม่เจอ แต่คันที่ 2 ที่ขนคนมาจะเลี้ยวไปทางอื่น ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ไม่มีทีมเคลื่อนที่เร็วคอยไล่ติดตาม หรือไม่ได้วางกำลังดักเส้นทางอื่นไว้ด้วย...ขบวนการนี้ก็จะขนคนเล็ดลอดไปได้ด้วยวิธีนี้“พวกนี้มันเร็ว เราตั้งด่านตรงนี้เขาจะมีสายขี่รถมอเตอร์ไซค์ มาดู แล้วเขาก็จะมีทางออกของเขา หลีกทางจากด่าน” พ.ต.วราวิทย์ อินตา รองผู้บังคับกองร้อยทหารราบยานเกราะที่ 2 ซึ่งมาปฏิบัติภารกิจในหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 กองกำลังบูรพา ให้ข้อมูลวิธีการหลบหลีก พ.ต.วราวิทย์ อินตาแต่ทหารหน่วยนี้ก็มีวิธีการดักจับจนสามารถจับได้ทั้งคนนำพาและคนกัมพูชาได้หลายครั้ง ทำให้ขบวนการไม่พอใจที่ทหารซึ่งเพิ่งมาจากพื้นที่อื่นมาขัดขวางธุรกิจมืดที่ทำเงินมหาศาล ถึงขั้นเคยส่งคนขับรถยนต์มายิงใส่ทหารที่ตั้งจุดตรวจ...“สิ่งที่ผมเจอแล้วรู้สึกว่ามันตื่นเต้นและตกใจที่สุดเลย มันแปลกมากคือมีการยิงทหารที่ตั้งด่านแล้วฝ่าออกไปครับ ผมขับรถไล่ติดตามแต่ไม่สามารถตามได้ครับ เพราะว่าเขาขับเร็วมากผมขับรถเร็ว 170 แต่ไม่สามารถติดตามได้ เขาเร็วกว่าผมมาก” ร.อ.เตชสิทธิ์ ฤทธิ์จรูญ ผู้บังคับกองร้อยทหารราบยานเกราะที่ 2 เล่าถึงวันที่โดนขบวนการนี้ขับรถมายิงที่ด่านตรวจ“ตำบลผ่านศึก อำเภออรัญประเทศ มี 13 หมู่ในวันที่ทีม SEE TRUE ไปสังเกตการปฏิบัติภารกิจของทหาร มีผู้ใหญ่บ้านเพียง 2 หมู่คือหมู่ 2 และหมู่ 10 รวมทั้งชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ “ชรบ.” แค่บางคนเท่านั้น ที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขันตั้งด่านตรวจ เพื่อป้องกันขบวนการนี้ ซึ่งทหารบอกว่า มีแค่ผู้ใหญ่บ้าน 2 หมู่นี้เท่านั้น ที่ร่วมมือกับทหารปราบปรามขบวนการขนเขมรข้อมูลที่ได้มายังมีอีกว่า นอกจากขบวนการขนเขมรที่เป็นผู้นำท้องถิ่น...คนของกรมการปกครองแล้ว ยังมีเครือข่ายเป็นทหารพรานบางนายและตำรวจในท้องที่บางนายร่วมมือด้วย ก็ยิ่งทำให้การขนคนข้ามแดน ผิดกฎหมาย ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น นี่กระมัง...จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพื้นที่ตำบลผ่านศึกจึงกลายเป็นช่องทางขนคนข้ามแดนผิดกฎหมายและของเถื่อนมากที่สุดในตอนนี้?ปัจจุบันการลักลอบขนคนข้ามแดนมีความเสี่ยงกว่าเดิม จึงทำให้ขบวนการนี้ขยับราคาค่านำพาขึ้น โดยคนกัมพูชาเก็บคนละ 6,500 บาท จากเดิม 3,000 บาท คนไทย 10,000 บาท จากเดิม 3,000 บาท ส่วนคนจีน 35,000 บาท จากเดิม 20,000 บาท ร.อ.เตชสิทธิ์ ฤทธิ์จรูญคำถามใหญ่...ที่ยังค้างคาในใจประชาชนและผู้ปฏิบัติหน้าที่คือ ระบบการตรวจสอบและความร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่จะสามารถตัดตอนเครือข่ายลึกซึ้งนี้ได้อย่างไร หากผู้นำท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่บางส่วนถูกพาดพิง? การแก้ปัญหาจึงต้องเกินกว่าการตั้งด่านชั่วคราว แต่ต้องเป็นการตรวจสอบเชิงโครงสร้าง...ตัดเส้นทางการเงิน และฟื้นฟูการมีส่วนร่วมของชุมชนบทสรุปจากแนวหน้าไม่ได้จบแค่การปราบปรามผู้ลักลอบ แต่ต้องการความกล้าหาญทางการเมืองและความร่วมมือข้ามหน่วยงาน รากเหง้าของ “ธุรกิจมืด” ต้องถูกคลายออกจาก “ชุมชน” มิฉะนั้นชายแดนที่ไร้เสียงปืนวันนี้อาจกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม