แม่ทัพภาค 2 แจงเหตุเลื่อนประชุม JBC ไปราวกลางเดือนตุลาคม หลังเพิ่งประชุมกองเลขานุการของฝ่ายไทย-กัมพูชาไปหมาดๆ เหตุฝ่ายกัมพูชาไร้การตอบรับข้อเสนอฝ่ายไทย ทั้งการถอนอาวุธ เก็บกู้ทุ่นระเบิด ส่วนกรณี “ปราสาทคนา” ชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ยันยังไม่มีใครยึดครองตัวปราสาท ระบุเป็นพื้นที่สำรวจร่วม ส่วนแนวใกล้กับตัวปราสาทยังเป็นพื้นที่ต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิด ด้านคณะ IOT 3 ประเทศ เดินสาย ดูจุดปะทะ-พบทุ่นระเบิดที่ช่องบก อุบลราชธานี-ช่องสายตะกู สุรินทร์ รวมถึงเยี่ยม 18 เชลยศึกกัมพูชา ยันไม่ได้มาดูว่าฝั่งไหนผิด แต่มาสังเกตการณ์ดูข้อเท็จจริง ขณะที่ “อนุทิน” ย้ำรัฐบาลจะไม่เปิดด่าน จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นปัญหาการพิพาทชายแดนไทยใน 7 จังหวัดที่มีดินแดนติดกับกัมพูชา ยังไม่คลี่คลายแม้จะมีการประชุมทวิภาคีทั้งการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ทั้ง 3 ด้าน ที่อยู่ในการดูแลของกองทัพภาคที่ 1, 2 กองทัพบก และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด กองทัพเรือ ไปหลายครั้ง ปัญหาก็ยังไม่คลี่คลายล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ต.ค. พลโทวีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย-กัมพูชา ด้านกองทัพภาคที่ 2 และภูมิภาคทหารที่ 4 ว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค.มีการประชุมของการประชุมกองเลขานุการของฝ่ายไทยและกัมพูชา ฝ่ายไทยมีการยื่นข้อเสนอให้กับฝ่ายกัมพูชา เช่น การถอนกำลังพล ถอนอาวุธ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีปัญหาการเผชิญหน้ากันอยู่ ซึ่งข้อเสนอเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นที่ยังไม่ลงตัว และฝ่ายกัมพูชายังไม่ได้ตอบรับกลับมา จึงต้องรอยืนยันอีกครั้งหนึ่ง และยังไม่เห็นข้อเสนอจากฝ่ายกัมพูชา คาดว่าน่าจะมีการเลื่อนประชุม RBC ออกไปเป็นประมาณกลางเดือนตุลาคมแม่ทัพภาคที่ 2 ยังกล่าวถึงข้อตกลงการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ไทยต้องมีการกำหนดพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไทยเห็นว่ามีทุ่นระเบิดวางใหม่จากการสู้รบที่ผ่านมา ซึ่งการทำแผนเก็บกู้ทุนระเบิดจะต้องทำให้ละเอียด แผนเก็บกู้ทุ่นระเบิดเดิมต้องมีการรื้อใหม่ เนื่องจากพบว่า มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ทับไปแล้ว ซึ่งจุดที่มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ต้องมาสำรวจ และให้ข้อมูล ไล่มาตั้งแต่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี จนถึงบริเวณปราสาทตาเมือน ตลอดแนว เพราะเป็นพื้นที่สู้รบกว่า 363 กิโลเมตร ระหว่างช่องบกจนถึงหลักเขตแดนที่ 8 ละหานทราย ส่วนจะประชุมเมื่อใดนั้น เป็นเรื่องทางเทคนิค แต่เราก็กำหนดไว้ว่า จะต้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่นการถอนกำลังต้องให้ชัดเจนว่าจะถอนอย่างไร วันที่เท่าไหร่ ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทัพภาคที่ 2 คิดว่าจะต้องมีข้อมูลและมีการปฏิบัติที่ชัดเจนนอกจากนี้ แม่ทัพภาคที่ 2 ยังกล่าวถึงกรณีปราสาทคนา ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดน ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และกรมศิลปากรเคยเข้าสำรวจเมื่อปี 2544 ยืนยันอยู่ในดินแดนไทย แต่ปัจจุบันกลับมีการสร้างบันไดจากฝั่งกัมพูชาขึ้นมาเที่ยวชมในพื้นที่ปราสาท ทำให้เกิดความเป็นห่วงจะถูกกัมพูชายึดครองว่า ตอนนี้บริเวณปราสาทคนาเป็นพื้นที่สำรวจร่วม เพื่อจัดทำหลักเขตแดน ทหารฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชาต่างอยู่กันในพื้นที่ของตัวเอง ยืนยันว่าตัวปราสาทยังไม่มีใครยึดครอง นอกจากนี้บริเวณแนวใกล้กับตัวปราสาทยังเป็นพื้นที่ต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิดเช่นเดียวกับ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันปราสาทคนามีสภาพเป็นสิ่งปรักหักพัง หลงเหลือเพียงแนวกำแพงศิลาแลงสูงประมาณ 1.6 ม. ยาวประมาณ 25 ม.แนวเดียวเท่านั้น ตัวปราสาทตั้งอยู่บริเวณห่างจากขอบหน้าผามาทางฝั่งไทยประมาณ 100 ม. มีองค์ประกอบคือ สระน้ำ 2 แห่ง คือสระน้อยและสระใหญ่ บริเวณใกล้เคียงปราสาทต่ำลงไปทางขอบหน้าผามีฐานทหารกัมพูชา ตั้งอยู่เป็นแนวไปทางทิศใต้ โดยมีฐานทหารของไทย ฉก.ทพ.26 อยู่บริเวณใกล้เคียงปราสาทไปทางทิศเหนือ ควบคุมพื้นที่ 2 แห่ง คือ ฐานสระใหญ่และฐานสระน้อยโฆษกกองทัพบกกล่าวว่า ที่ผ่านมาฝ่ายไทย เข้าไปตรวจสอบสภาพพื้นที่เป็นประจำ เพื่อไม่ให้ฝ่ายกัมพูชามีการไปปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปใช้งานเป็นที่ตั้งสำหรับปฏิบัติการทางทหาร และบางครั้งฝ่ายกัมพูชาจะเข้ามาพบกับฝ่ายไทย โดยฝ่ายกัมพูชาไม่ได้มีทีท่าจะขยับคืบเข้ามาควบคุมบริเวณพื้นที่ซากหรือกำแพงของปราสาทแต่อย่างใด กระทั่งเกิดความขัดแย้งเหตุการณ์ปะทะกันที่ช่องบกเมื่อ พ.ค.2568 เกิดความตึงเครียดตลอดแนว ทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่มีการเข้าไปบริเวณซากกำแพง โบราณสถานดังกล่าวสำหรับบันไดไม้ที่ฝ่ายกัมพูชาสร้างนั้น พล.ต.วินธัยกล่าวว่า เป็นการสร้างเพื่อใช้สำหรับการส่งกำลังบำรุงขึ้นมายังฐานตรวจการที่อยู่บนแนวหน้าผา ไม่ใช่สร้างเพื่อกิจกรรมการท่องเที่ยว ลักษณะของกำลังทหารกัมพูชาที่อยู่บนนั้นไม่มีท่าทีคุกคามเหมือนบางพื้นที่ และจุดเฝ้าตรวจของกัมพูชาไม่มีลักษณะเป็นป้อมปราการทางทหาร เพื่อใช้สำหรับเตรียมการต่อสู้แต่อย่างใด จากนี้ไปกองกำลังสุรนารีจะดำเนินการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีเหตุความตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมาส่วนที่ห้องประชุมศรีจันทราพันธุ์ โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เมื่อช่วงสายวันที่ 4 ต.ค.คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team : IOT) จำนวน 3 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไน มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวม 4 นาย นำโดยพลจัตวา ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) มาตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานในพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 (กองกำลังสุรนารี) เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงปัญหาในพื้นที่ ตามบันทึกข้อตกลงจากผลการประชุม GBC ไทย-กัมพูชา โดยมี พลตรี สุคนธรัตน์ ชาวพงษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ให้การต้อนรับและสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยมีรายงานยังตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา พบโดรนบริเวณพื้นที่ช่องอานม้า 6 ลำ พื้นที่ภูมะเขือ-ปราสาทพระวิหาร 6 ลำ พื้นที่ปราสาทตาควาย 50 ลำ พื้นที่ช่องกร่าง 5 ลำ และพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม 4 ลำจากนั้น พลจัตวา ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย หัวหน้าคณะ IOT ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้ข้อมูลอัปเดตจากกองทัพภาคที่ 2 เรียบร้อยแล้ว เป็นข้อมูลที่ครอบคลุมและครบถ้วน หลังจากนี้ในช่วงบ่าย และวันรุ่งขึ้นจะไปดูสถานการณ์ที่เกิดเหตุในพื้นที่และแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมย้ำว่าไม่ได้มาดูว่าฝั่งไหนผิด แต่มาเพื่อสังเกตการณ์และดูข้อเท็จจริงสำหรับภารกิจของคณะ IOT ในช่วงบ่าย เดินทางไปพื้นที่ช่องบก บริเวณต้นพญาสัตบรรณ/จุดเหยียบกับระเบิด และตรวจพบทุ่นระเบิด ซึ่งจากข้อมูลของหน่วยในพื้นที่พบว่ามีการลักลอบวางทุ่นระเบิด PMN-2 กว่า 200 ลูก ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายนที่ผ่านมา รวม 36 เหตุการณ์ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 นาย หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นสูญเสียขา ส่วนในวันที่ 5 ต.ค.ไปตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมเชลยศึก อ.เมืองสุรินทร์ ต่อด้วยไปช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ (บริเวณรั้วใกล้แนวเส้นปฏิบัติการและจุดที่มีการละเมิด)ขณะที่เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 4 ต.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินทางไปที่แนวเขตชายแดนไทยกัมพูชาที่ ต.ปราสาท และช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดยกล่าวถึงสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาว่า ตอนนี้ยังประเมินสถานการณ์อยู่ทั้งหมด โดยจะร่วมรับฟังกับแม่ทัพภาค 1 กับแม่ทัพภาค 2 ถึงสถานการณ์โดยทั่วไป เรื่องความมั่นคง พวกเราเชื่อมั่นฝีมือฝ่ายทหารอยู่แล้ว ต้องใจเย็นๆ อย่าไปกดดันกองทัพ คนเป็นทหารทราบดีว่าไม่มีทางยินยอมเสียดินแดนเป็นอันขาด ส่วนการเปิดด่าน ตนอยากได้มือไม่อยากได้ตีน เพราะกว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ฝ่าดงตีนมาเยอะแล้ว เป็นอันว่าเรามีสัญญากัน รัฐบาลจะฟังเสียงประชาชน เมื่อให้ปิดด่าน รัฐบาลจะไม่เปิดจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ส่วนเรื่องการเยียวยาชาวบ้านแนวเขตชายแดนที่ได้รับผลกระทบ เร่งดำเนินการอยู่ทุกครอบครัวจะได้รับเงินตามที่รัฐบาลชุดที่แล้วกำหนดไว้ส่วนกรณีการล้อมรั้วแนวชายแดน นายอนุทิน กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ แต่ขึ้นอยู่กับแนวเขตที่ชัดเจนหรือจุดที่ยังล่อแหลมอยู่ จุดไหนที่ชี้ชัดได้ว่าเป็นของฝั่งไทย สามารถดำเนินการได้เลย ทั้งหมดจะต้องขึ้นอยู่กับหลายฝ่ายที่จะมาร่วมพิจารณา โดยรายละเอียดเรื่องนี้ต้องไปถามทางกองทัพ ส่วนนโยบายหลังจากนี้ยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้จะเป็นอย่างไรเพราะรัฐบาลชุดนี้อยู่ได้เพียงสี่เดือนขณะที่บรรยากาศใน อ.พนมดงรัก และที่ย่านการค้าตลาดชายแดนช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ยังคงเงียบเหงา ชาวบ้านบางส่วนอพยพออกจากพื้นที่ ร้านค้าพากันปิดร้าน ส่วนชาวบ้านที่ยังอยู่ก็อยู่ด้วยความจำเป็น บางครอบครัวสร้างหลุมหลบภัยของตัวเองและเตรียมข้าวของใส่รถพร้อมอพยพตลอดเวลา ทั้งนี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากให้หน่วยที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลจบปัญหาชายแดนไวๆ รวมถึงเปิดไฟเขียวให้ทหารเข้ามาจัดการให้จบดีกว่าที่ตอนนี้นอกจากทำมาหากินอะไรไม่ได้แล้ว แต่ละวันยังอยู่อย่างหวาดระแวงและนอนไม่ค่อยหลับด้านบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ตลอดช่วงเช้าวันที่ 4 ต.ค.ยังเงียบสงบ กองกำลังบูรพาจัดกำลังลาดตระเวนและนำโดรนขึ้นบินตรวจสอบพื้นที่ตลอดแนวรั้วบ้านหนองหญ้าแก้ว-หนองจาน พบว่ามีเพียงกำลังพลทหารกัมพูชา 8-10 นาย ประจำการอยู่ที่จุดสังเกตการณ์ตามแนวชายแดน เพื่อคอยสอดส่องความเคลื่อนไหว และไม่พบการรวมกลุ่มของชาวกัมพูชาเหมือนเช่นที่ผ่านมาอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่