กองทัพภาค 2 แฉเล่ห์กัมพูชา ทำช่องอานม้าเดือด สร้างสถานการณ์ยั่วยุ ยิงปืนกลสลับยิงระเบิดใส่ฝ่ายไทยเพื่อให้โต้กลับ หวังสร้างภาพไทยเป็นฝ่ายยิงก่อน เอาไปฟ้องคณะ IOT กัมพูชาที่มาเยือนพื้นที่ถี่ผิดสังเกตยันไทยมีคลิปพฤติกรรมทหารกัมพูชาตั้งกล้องรอถ่ายภาพ-เสียงอาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทย ขณะที่ชาวบ้านริมชายแดนอยู่อย่างผวา บางส่วนต้องหอบเสื้อผ้าของใช้อพยพเข้าศูนย์พักพิง ต่างประสานเสียง อยากให้จัดการเขมรให้จบ จะได้ทำมาหากิน ไม่ต้องอพยพไปมา ส่วนที่ “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” พบพิรุธกัมพูชาระดมสื่อทั้งในและนอกประเทศเข้ามาปักหลักประชิดชายแดนไทยสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ฝั่งอีสานใต้ที่อยู่ในความดูแลของกองทัพภาคที่ 2 กลับมาตึงเครียดหนัก เมื่อเกิดเสียงปืนดังรัวจากฝั่งกัมพูชา ที่ติดกับ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อเวลา 12.03 น.วันที่ 27 ก.ย.มีรายงานจากฝ่ายความมั่นคงว่า ที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนกลยิงเข้ามายังเจ้าหน้าที่ทหารฝั่งไทย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยจะตอบโต้กลับ จากนั้นฝ่ายกัมพูชาใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเข้ามาฝั่งไทยอีกครั้งเวลา 12.40 น. กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ได้ออกมาชี้แจงกรณีทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนกล และเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทยว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นแผนของฝั่งกัมพูชาต้องการยั่วยุให้ฝ่ายไทยยิงตอบโต้ ฝั่งกัมพูชาตั้งกล้องรอบันทึกภาพนำไปฟ้องคณะ IOT ฝั่งกัมพูชา ที่เดินทางมาที่ช่องอานม้าในช่วงบ่าย และหลังเกิดเหตุไม่นานโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ออกมาแถลงข่าวกล่าวหาไทยทันที ทั้งหมดเป็นแผนของฝั่งกัมพูชาที่วางไว้ เพื่อให้ทางฝั่งไทยตกหลุมพราง กองกำลังสุรนารีได้เตรียมพร้อม และสั่งการให้ยิงตอบโต้ตามสถานการณ์ แต่ฝ่ายไทยมีคลิปที่ทหารกัมพูชาตั้งกล้องรอถ่าย เป็นเสียงอาวุธปืนจากฝั่งกัมพูชาที่ยิงเข้ามายังฝั่งไทยสำหรับแถลงการณ์จากฝั่งกัมพูชาดังกล่าว มีรายงานจากสื่อต่างประเทศว่า พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงว่า ทหารไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนที่ฐานทัพช่องอานม้าใช้ปืนใหญ่และปืนไรเฟิลหลายนัดและยิงโจมตีฐานทัพกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยกองทัพกัมพูชาใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูงสุด และไม่ได้ยิงตอบโต้แต่อย่างใดและกัมพูชายืนยันว่ายังคงมุ่งมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและกระชับความร่วมมือเพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพระหว่าง 2 ประเทศ และขอให้ไทยเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดต่อมา พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ที่ช่องอานม้า ยืนยันยังไม่ได้รับรายงานการบาดเจ็บและเสียชีวิตของฝ่ายไทยและมีข้อสังเกตว่ากัมพูชาได้นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT ฝั่งกัมพูชา ลงพื้นที่ตรวจสอบบ่อยครั้ง คาดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ยั่วยุให้ฝ่ายไทยยิงตอบโต้และเข้าโจมตี เพื่อใช้เป็นหลักฐานแจ้งต่อคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT-กัมพูชา ว่าฝ่ายไทยละเมิดมาตรการหยุดยิงทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ณ เวลา 14.00 น. สถานการณ์โดยรวม เมื่อเวลา 12.02 น.ฝ่ายกัมพูชาได้พยายามสร้างสถานการณ์ความตึงเครียดขึ้นอีกครั้งบริเวณพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามายังพื้นที่ของฝ่ายไทยจากบริเวณเนิน 677 มายังเนิน 600 และเนิน 527 พร้อมทั้งใช้อาวุธปืนเล็กยิงปะทะเป็นระยะก่อนที่สถานการณ์จะยุติลง ทั้งนี้ การปะทะจำกัดวงอยู่เฉพาะบริเวณดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังควบคุมพื้นที่อย่างใกล้ชิดต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ฝ่ายไทยได้รับแจ้งจากกัมพูชาว่า คณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) ของกัมพูชาจะเดินทางเข้าพื้นที่ช่องอานม้า กองทัพภาคที่ 2 ประเมินว่าเป็นความพยายามของกัมพูชาในการ “สร้างเงื่อนไข” และ “ยั่วยุ” ให้เกิดสถานการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่คณะ IOT เดินทางเข้าพื้นที่ ในอดีตกัมพูชามักใช้กลยุทธ์ลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและในครั้งนี้ก็ยังคงดำเนินการในรูปแบบเดียวกันนอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ล่วงหน้า บริเวณฐานปฏิบัติการทางทิศใต้ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะนำเหตุการณ์ไปใช้เผยแพร่ในเวทีนานาชาติ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าฝ่ายไทยเป็นผู้ริเริ่มการปะทะ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นการกระทำเชิงยุทธวิธีที่ไม่เหมาะสมของฝ่ายกัมพูชาเอง การใช้อาวุธยิงโจมตีในห้วงเวลากลางวัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางยุทธวิธี แสดงถึงเจตนาชัดเจนที่จะยั่วยุให้ฝ่ายไทยตอบโต้ หากฝ่ายไทยดำเนินการตอบสนองก็เสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และถูกขยายผลในเวทีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยยังคงควบคุมสถานการณ์ด้วยความสุขุม รอบคอบ และหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆที่จะตกเป็นประโยชน์ต่อการโฆษณา ชวนเชื่อของกัมพูชานอกจากนี้ เพจเฟซบุ๊ก “กองทัพบก ทันกระแส” โพสต์ระบุว่า “สันติวิธีแบบลอบกัด พื้นที่ตาควายยังพบระเบิดต่อเนื่อง ล่าสุด 26 ก.ย.2568 เจ้าหน้าที่ TMAC ตรวจพบ PMN-2 จำนวน 2 ทุ่น กัมพูชาละเมิดข้อตกลงและแสดงการเป็นปรปักษ์”วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดอุบลราชธานี ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี นายภพ ภูสมปอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชานี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการและคณะทำงานศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ กรณีภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศจังหวัดอุบลราช ธานี นายภพกล่าวว่า จังหวัดอุบลราชธานีมีพื้นที่ติดกับกัมพูชาใน 3 อำเภอ ได้แก่ อ.น้ำยืน อ.นาจะหลวย และ อ.น้ำขุ่น ขณะนี้ประชาชนในพื้นที่ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ภายใต้การดูแลรักษาความปลอดภัยของฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ทหาร ตำรวจ ชรบ. อ.น้ำยืน และ อ.น้ำขุ่น ยังไม่มีประกาศอพยพอย่างเป็นทางการ แต่ประชาชนในพื้นที่ที่วิตกกังวล สามารถเดินทางไปศูนย์พักพิงที่ อ.เดชอุดม ก่อนได้ สามารถสอบถามผู้นำหมู่บ้านแจ้งแต่ละจุดได้ทันที ขณะนี้เปิดทุกศูนย์พักพิงแล้วทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในตัวอำเภอน้ำยืน หลังเกิดเสียงปืนกลเล็กดังขึ้น 3 ชุด ชุดละ 5 นัด จากฝั่งกัมพูชาว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ บางส่วนที่อยู่ติดชายแดนและอยู่ในแนวกระสุนจากรอบที่แล้ว ได้เก็บของอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวอำเภอเดชอุดมบ้างแล้ว นางสาวประคองจิต ครองประจิต อายุ 45 ปี ชาวบ้านช่องอานม้า เปิดเผยว่า ครอบครัวตนมีทั้งหมด 4 คน กังวลใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เกรงว่าจะโดนเด็ก หากไม่รีบอพยพ รอมีเสียงปืนใหญ่อาจจะอพยพไม่ทัน ตอนนี้จะอพยพไปที่อำเภอเดชอุดม ตามที่ทางราชการประชุมวางแผนเอาไว้เหมือนรอบแรก เช่นเดียวกับ นางทวี สานันท์ อายุ 66 ปี ชาวบ้านที่อพยพออกจากพื้นที่พร้อมกับลูกชายป่วยติดเตียง กล่าวด้วยอารมณ์ไม่พอใจว่า กัมพูชาลืมบุญคุณ ของไทยที่เคยช่วยเหลือ และเพราะพวกเขมรทำให้คนไทยต้องลำบากอพยพ ทั้งที่เป็นแผ่นดินของไทย พร้อมกับด่าพ่อลูกตระกูลฮุนเป็นภาษาเขมรส่วนที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ หมู่บ้านพื้นที่สีแดง ชายแดนไทย-กัมพูชา ฝั่งเขาพระวิหาร บรรยากาศในหมู่บ้านค่อนข้างเงียบเหงา ชาวบ้านระบุว่า ชาวบ้านเกือบ 200 ครอบครัวทยอยอพยพออกจากหมู่บ้านแล้ว มีบางส่วนที่ยังอยู่ในหมู่บ้าน เพื่อเฝ้ารอดูสถานการณ์ แต่มีความพร้อมจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นขึ้นรถไว้ เมื่อเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นและมีประกาศจากทางการก็พร้อมอพยพตลอดเวลานางเสวย สุทธิพร ชาวบ้านภูมิซรอล เปิดเผยว่า เตรียมสิ่งของจำเป็นทั้งเสื้อผ้าของใช้ประจำวันและสิ่งของต่างๆไว้หมดแล้ว สิ่งของจำเป็นบางส่วนทยอยไปไว้ที่บ้านญาติในเขตอำเภอกันทรลักษ์ มีแค่บางส่วนที่เก็บไว้ในรถกระบะ เตรียมอพยพตลอดเวลา ตนทราบข่าวจากหลานที่เป็นทหารในพื้นที่ โทร.มาบอกให้เตรียมตัวไว้ เขาจะยิงกันแล้ว ก็ไม่ได้ตื่นกลัว แต่เตรียมความพร้อมไว้ เมื่อเสียงปืนใหญ่ดังขึ้น พร้อมออกจากหมู่บ้านไปยังที่ปลอดภัยทันที ตนอยากให้ทุกอย่างเด็ดขาด การอพยพย้ายไปย้ายมา ทำให้เหนื่อยนะ เพราะฉะนั้นหากจะยิงก็ยิงกันเลยจะได้จบๆ ชาวบ้านจะได้ทำมาหากินต่อ ไม่ต้องอพยพไปมาอยู่อย่างนี้ จนไม่ได้ทำมาหากินที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ช่วงบ่าย พ่อแม่และผู้ปกครองในพื้นที่ต่างรีบขับขี่รถจักรยานยนต์ รถซาเล้ง และรถยนต์ มารับบุตรหลานที่มาเรียนหนังสือชดเชยในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่โรงเรียนต่างๆ ในตัวอำเภอบ้านกรวด หลังโรงเรียนแจ้งให้มารับเด็กๆ ก่อนกำหนดเลิกเรียนในเวลาประมาณ 16.00 น. พ่อแม่ผู้ปกครองที่เดินทางมารับบุตรหลานบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ครูไม่ได้แจ้งสาเหตุของการให้มารับกลับก่อนกำหนด แต่ต่างเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทหารกัมพูชายิงปืนกลและลูกระเบิด เข้ามาฝั่งไทย ที่ช่องอานม้า อ.บ้านน้ำยืนไม่ต่างจากที่ ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ชาวบ้านบางส่วนทยอยพาผู้สูงอายุออกจากพื้นที่ นายวิโรจน์ จำนงค์ อายุ 49 ปี ชาว บ.โจรก ต.ด่าน กล่าวว่า อพยพคนป่วยติดเตียง คนแก่และลูกเมียออกมาก่อน เพราะได้ยินข่าวจากทางการว่าจะมีการรบกันแต่ไม่รู้ตอนไหน อยู่แล้วกังวลไม่เป็นสุข ตนอยากให้ยิงเร็วๆ ให้จบๆ จะได้ทำมาหากิน อยู่บ้านทำอะไรไม่ได้ ไปนาก็รีบไปรีบกลับ งวดรถก็ไม่มีส่ง ไม่ได้ทำงานมาสองสามเดือนแล้ว ฝากรัฐบาลให้เอาจริงด้วยเรื่องเขตแดนจะได้จบสักที เช่นเดียวกับนายวิเศษ สร้อยจิตร อายุ 69 ปี ชาวบ้านสนวน ม.3 ต.ด่าน ฝากถึงแม่ทัพที่บอกว่าจะจัดการให้เด็ดขาด จะยิงก็ยิงให้จบๆไป ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ออกจากบ้านมาวันสองวันแล้ว เดือดร้อนมาก เงินช่วยเหลือ 5 พันบาท ก็ยังไม่ได้ ช่วยเร่งให้หน่อยสำหรับที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับรายงานว่าสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งการให้นักข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศเดินทางไปปักหลักที่หมู่บ้านเปรยจัน ฝั่งกัมพูชา ตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองหญ้าแก้วฝั่งไทย เพื่อเตรียมรายงานสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนขณะที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงเปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวถือว่าผิดปกติและน่าสนใจ เนื่องจากที่ผ่านมามักมีเพียงเจ้าหน้าที่ทหารและชาวบ้านกัมพูชาในพื้นที่เท่านั้น ครั้งนี้กลับมีการระดมสื่อมวลชนทั้งในและนอกประเทศเข้ามาอยู่ในพื้นที่ ทำให้ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะมีการจัดกิจกรรม แถลงการณ์ หรือเหตุการณ์สำคัญใดเกิดขึ้นในวันและเวลานี้หรือไม่ในพื้นที่ฝั่งกัมพูชา บางส่วนยังคงเดินสอดแนมอยู่บริเวณรั้วลวดหนาม เป็นจุดที่มีการปะทะอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจากภาพมุมสูงพบว่าจำนวนผู้คนในพื้นที่ยังคงบางตาไม่ได้หนาแน่นเหมือนช่วงที่มีการรวมกลุ่มครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ โดยทหารไทยยังคงตรึงกำลังดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด ทั้งลาดตระเวน ตรวจสอบภาพมุมสูง และเฝ้าสังเกตพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะในจุดบ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน ซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหวต่อปัญหาชายแดนชาวบ้านในพื้นที่เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า แม้สถานการณ์ในวันนี้จะยังไม่พบความเคลื่อนไหวที่ชัดเจน แต่ยังคงกังวลใจ เนื่องจากการที่มีสื่อมวลชนต่างประเทศเข้ามาปักหลักในพื้นที่ฝั่งกัมพูชา มักสะท้อนว่ามีบางสิ่งบางอย่างเตรียมถูกนำเสนอหรือประกาศออกมาในไม่ช้า ทำให้ชาวบ้านฝั่งไทยยังคงจับตาและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่