“สังฆทาน”...เชื่อศรัทธากันว่าเป็น “พลังแห่งบุญ” ที่เชื่อมโยงในเรื่องของ...“ภพภูมิ” ทั้งยังหนุนนำส่งเสริมให้ชีวิตรุ่งเรือง ด้วยเชื่อว่าการทำสังฆทานนั้นประหนึ่งเป็นการ “เติมบุญ...บารมี” ให้แก่ตนเอง ทำให้ชีวิตปราศจากอุปสรรค มีแต่ความเจริญก้าวหน้าการถวายสิ่งของที่มีประโยชน์ต่อพระสงฆ์ เปรียบเสมือนการสร้างกุศลที่ยั่งยืนให้แก่ตนเองและครอบครัว...อุทิศบุญสู่ผู้ล่วงลับเป็น “สะพานบุญ” ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษหรือผู้ที่จากไปแล้ว เชื่อกันว่า...ผลบุญที่เกิดจากการถวายสังฆทานจะส่งไปถึงวิญญาณของผู้ล่วงลับทำให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น หรือพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกหลังความตายว่ากันว่า...หากใครที่มุ่งเน้นการเสริมดวงเร่งด่วน แนะนำให้บริจาคของใช้ที่มีความหมาย เช่น ร่ม...ช่วยให้ชีวิตราบรื่น อยู่เย็นเป็นสุข...เสื่อ หมอน ช่วยให้ชีวิตไร้อุปสรรค มีแต่คนสนับสนุนช่วยเหลือ เป็นต้นนอกจากนี้ยังเป็นการ...“ปลดหนี้กรรม” โดยบางความเชื่อระบุว่า การถวายสังฆทานที่บริสุทธิ์สามารถช่วยปลดกรรมที่เคยก่อไว้ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่รู้สึกว่าชีวิตมีแต่อุปสรรคหรือมีโรคภัยไข้เจ็บย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาล การถวายทานแบ่งออกเป็น ปาฏิปุคคลิกทาน...ทานที่ถวายเฉพาะเจาะจงบุคคล และ สังฆทาน...ทานที่ถวายแก่หมู่คณะสงฆ์โดยไม่เจาะจง ตำนานที่ถูกเล่าขานคือเรื่องราวของ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระน้านางของพระพุทธเจ้า พระนางทอผ้าไตรจีวรด้วยพระหัตถ์ของตนเองเพื่อจะนำไปถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นการส่วนพระองค์ แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำให้พระนางนำผ้าไปถวายแก่พระสงฆ์โดยรวมแทนพุทธานุญาตนี้เองที่สร้างความเชื่ออันเป็นรากฐานของการถวายสังฆทานมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะการถวายทานแก่หมู่คณะสงฆ์เปรียบเสมือนการปลูกบุญลงใน “เนื้อนาบุญ” ที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่าการทำทานแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงลำพัง ทำให้เกิดอานิสงส์อันไพศาลและเป็นบุญที่บริสุทธิ์ยิ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการขายชุดสังฆทานสำเร็จรูปมากมาย แต่แก่นแท้ของการถวายสังฆทานไม่ได้อยู่ที่จำนวนหรือมูลค่าของสิ่งของ หากแต่เป็น “เจตนา” ที่บริสุทธิ์ของผู้ให้ และ “ปัญญา” ในการเลือกสรรสิ่งของที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อพระสงฆ์จริงๆ...การ “ทำบุญ” ด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จะสร้าง “บุญกุศล” ที่แท้จริงได้มากกว่าการทำตามประเพณีเพียงอย่างเดียว“สังฆทาน”...จึงไม่ใช่แค่เรื่องของวัตถุสิ่งของ แต่เป็นเรื่องของจิตใจเป็นการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนเป็นการสืบทอดความเชื่อจากบรรพบุรุษและเป็นการสร้าง “มหาบุญ” ที่จะส่งผลดีต่อชีวิตทั้งในภพนี้...ภพหน้าเกี่ยวกับเรื่อง “สังฆทานเงิน” Cr. “พลเรือตรีทองย้อย แสงสินชัย” ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา (11 สิงหาคม 2567) “สังฆทานเงิน” คืออะไร? คำตอบก็คือ “ถวายเงิน”...ให้เป็นของสงฆ์ถ้าอยากได้เงินเข้าวัดเพื่อชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าก่อสร้าง ฯลฯ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาต่อไปดังที่มักอ้างกันทั่วไป โดยวิธีที่ถูกต้องก็คือ...เชิญชวนให้ญาติโยมถวายเงินโดยตรงผลพลอยได้อีกประการหนึ่งก็คือเมื่อมีวิธี “ถวายเงิน” ได้เช่นนี้ ก็ไม่ต้องเอาเงินใส่บาตรกันทุกเช้าให้พระต้องผิดศีล...เป็นอาบัติและผู้ถวายก็ได้บาปติดมากับบุญด้วย ดังที่นิยมทำกันผิดๆทั่วโลกอยู่ทุกวันนี้ อยากถวายเงินให้พระ...ใช้วิธีถวายสังฆทานเงิน อยากได้เงินจากโยม...บอกให้โยมถวายสังฆทานเงิน ได้ทรัพย์จากคนมีปัญญา...บริสุทธิ์กว่าได้จากความไม่รู้ไม่เข้าใจปัจจุบัน สังฆทานได้กลายเป็น “สินค้า” ชนิดหนึ่งที่วางขายเกลื่อนกลาดตามร้านค้าทั่วไป หลายชุดบรรจุสิ่งของที่ไร้ประโยชน์หรือไม่ตรงตามความต้องการของพระสงฆ์จริงๆ เช่น อาหารสำเร็จรูปหมดอายุ หรือเครื่องใช้ราคาถูกคุณภาพต่ำ การถวายสังฆทานในลักษณะนี้จึงเป็นเพียงการทำตามธรรมเนียมแต่...ไม่ได้เกิดจาก “จิต” ที่มุ่ง “ทำบุญ” อย่างแท้จริงยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาความเสื่อมถอยในพระสงฆ์บางรูปที่ปรากฏในข่าวสารต่างๆ ทั้งเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสม การใช้ชีวิตหรูหรา หรือการยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อของพุทธศาสนิกชน เมื่อผู้ถวายสังฆทานรู้สึกว่า “เนื้อนาบุญ” ที่เคยเชื่อถือได้กลับกลายเป็นที่สงสัย?ความศรัทธาที่เคยเต็มเปี่ยมจึงเริ่มลดน้อยลง บางคนถึงกับตั้งคำถามว่า “เราถวายสังฆทานไปแล้วจะตกไปถึงมือพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีจริงหรือ?” คำตอบคือ...วิกฤตินี้ไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของสังฆทาน แต่เป็นโอกาสที่จะฟื้นฟูความหมายที่แท้จริงขึ้นมาใหม่ โดยการเปลี่ยนมุมมองจากการถวาย “สังฆทานที่ตายแล้ว”... (ซื้อชุดสำเร็จรูปที่ไม่มีประโยชน์) มาเป็นการถวาย “สังฆทานที่มีชีวิต” สังฆทานที่มีชีวิตคือการเลือกสรรสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีพและการศึกษาของพระสงฆ์อย่างแท้จริง เช่น เครื่องอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพดี ยารักษาโรค หนังสือธรรมะ หรืออุปกรณ์ทำความสะอาด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การถวายทาน แต่เป็นการแสดงออกถึง “ปัญญา” และความใส่ใจของผู้ทำบุญอย่างแท้จริงซึ่งเป็นการกระตุ้นให้พระสงฆ์ได้กลับมาทบทวนบทบาทของตนเองด้วยเช่นกัน...ตอกย้ำ “สังฆทานไม่ใช่แค่พิธีกรรม” หากแต่เป็นกระจกสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับ และระหว่างฆราวาสกับพระสงฆ์ หากผู้คนยังคงยึดมั่นในการให้ที่บริสุทธิ์ และหากพระสงฆ์ยังคงรักษาศีลธรรมอันดีงามไว้ได้...ความศรัทธาในสังฆทานก็จะไม่วันเสื่อมคลายและจะยังคงเป็นเสาหลักค้ำจุนพระพุทธศาสนาต่อไป “ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.รัก–ยมคลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม