ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นกุญแจสำคัญของเศรษฐกิจโลก บริษัท Nvidia ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ในตลาดหุ้น NASDAQ ของสหรัฐฯ ได้กลายเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อนบริษัทที่ก่อตั้งปี 2536 แห่งนี้มี “เจนเซน หวง” ชาวจีนอเมริกันวัย 61 ปี เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภายใต้การนำของเขาNvidia เติบโตจากผู้ผลิตการ์ดจอสำหรับเล่นเกม กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นผู้กำหนดทิศทางของการปฏิวัติ AI ทั่วโลกแต่เมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมาสถานการณ์กลับพลิกผันอย่างไม่คาดคิด เมื่อ Nvidia และชิป GPU ที่เป็นหัวใจของระบบ AI กลายเป็นเครื่องมือในสงครามการค้าและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีนการปิดกั้นเทคโนโลยีสะเทือนตลาดภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯตัดสินใจห้ามส่งออกชิป AI ไปยังจีนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะชิปN ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯตัดสินใจห้ามส่งออกชิป AI ไปยังจีนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะชิป NvidiaH20 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Hopper ซึ่งเป็นหัวใจของระบบ AI สมัยใหม่ผลกระทบจากมาตรการนี้รุนแรงกว่าที่คิด Nvidia ต้องบันทึกการขาดรายได้จากการขายที่สูญเสียไปสูงถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท จากสินค้าคงคลังที่ไม่สามารถขายได้ ขณะที่คู่แข่งอย่าง AMD ก็ไม่รอด ต้องหยุดจำหน่ายชิป Instinct MI308 และสูญเสียรายได้ไปกว่า 800 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.7หมื่นล้านบาทเดือน ส.ค.2568 นโยบายของสหรัฐฯเปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจ รัฐบาลอนุญาตให้ Nvidia และ AMD กลับมาขายชิปบางรุ่นในจีนได้อีกครั้ง แต่มาพร้อมเงื่อนไขพิเศษที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การค้าระหว่างประเทศบริษัททั้งสองต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ 15% จากการขายในตลาดจีนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้ถูกมองว่าเป็นระบบ “จ่ายเพื่อแลกสิทธิ์” หรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า “ค่าคุ้มครอง” ในรูปแบบใหม่ ข้อตกลงเหมือนเรียกค่าคุ้มครองรัฐบาลสหรัฐฯอธิบายว่า นี่เป็นวิธีรักษาสมดุล เปิดโอกาสให้บริษัทอเมริกันไม่เสียหายมากเกินไป ขณะเดียวกันก็ยังควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดอย่างชิป Blackwell รุ่นล่าสุด มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Hopper อย่างมากข้อตกลงดังกล่าวกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงการการเมืองอเมริกันมองว่า การอนุญาตให้ขายแม้แต่ชิปรุ่นเก่า อาจเปิดโอกาสให้จีนสะสมพลัง AI ในระยะยาวสก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง ออกมาชี้แจงว่า ชิป H20 ไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุด และไม่ก่อภัยต่อความมั่นคงของชาติ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์เองก็ยอมรับว่า เขาเป็นผู้เสนอส่วนแบ่ง 20% ในตอนแรก ก่อนจะลดเหลือ 15% และยืนยันว่า H20 เป็นเทคโนโลยีที่ “ล้าสมัยแล้ว”“เจนเซน หวง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nvidia มองเรื่องนี้ในมุมที่แตกต่าง เขาเชื่อว่าการห้ามขายชิปไม่เพียงทำให้สหรัฐฯสูญเสียรายได้ แต่ยังกระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีทดแทนของตัวเองความสำคัญของตลาดนี้สามารถดูได้จากตัวเลขรายได้ของ Nvidia ในไตรมาสล่าสุดที่สูงถึง 4.41 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% จากปีก่อน และคาดว่าทั้งปี 2025 จะทำรายได้ได้ถึง 1.31 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 4.57 ล้านล้านบาทแต่การสูญเสียตลาดจีนเพียงไตรมาสเดียวทำให้ Nvidia เสียรายได้ไปมหาศาล ซึ่งน่าจะเป็นคำอธิบายได้ว่าทำไมบริษัทต้องต่อรองหาทางออกกับรัฐบาล จุดแตกหัก คำว่า “เสพติด” ที่จีนไม่ยอมรับแม้จะเป็นการต่อสู้ระหว่างสหรัฐฯและจีน แต่แรงกระเพื่อมส่งผลต่อประเทศในเอเชียโดยตรง ไทยและประเทศอาเซียนอาจได้ประโยชน์จากชิปรุ่นรองที่มีราคาถูกลง ใช้ประโยชน์ในการพัฒนา AI ได้ แต่ก็มีความเสี่ยงถูกบีบให้เลือกข้าง หากสหรัฐฯขยายมาตรการควบคุมในอนาคตในขณะเดียวกันจีนก็ไม่ได้นิ่งเฉย บริษัทอย่าง Huawei และSMIC กำลังเร่งลงทุนพัฒนาชิปของตัวเอง หากประสบความสำเร็จ อาจเกิดคู่แข่งใหม่ที่ท้าทายการผูกขาดของ Nvidia และ AMD ทำให้ราคาชิปลดลงจากการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นแต่เมื่อรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค กล่าวคำพูดที่สะเทือนใจชาวจีนว่าต้องการให้จีน “เสพติด” เทคโนโลยีอเมริกัน ทำให้รัฐบาลจีน กรุงปักกิ่งโกรธมาก และออกคำสั่งปิดกั้นทันทีให้บรรดายักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจีนหยุดสั่งซื้อชิป Nvidia H20 ทั้งหมด พร้อมบังคับใช้กฎเหล็กใหม่ให้ศูนย์ข้อมูลทุกแห่งในประเทศต้องใช้ชิป AI จากผู้ผลิตจีนอย่างน้อย 50% โดยไม่มีข้อยกเว้นแม้ทุกคนรู้ดีว่าเทคโนโลยีของ Huawei และ Cambricon ผู้ผลิตชิป AI ยังห่างไกลจาก Nvidia ก็ตาม แต่จีนเลือกที่จะเสียสละประสิทธิภาพเพื่อแลกมาซึ่งศักดิ์ศรีและความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทความไซเบอร์เน็ต” เพิ่มเติม