ปิดดีลภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปสหรัฐอเมริกา “เหลือ 19% จาก 36%” เปิดโอกาสให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ เท่าเทียมกับประเทศคู่แข่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับภาษีในระดับเดียวกันแม้ว่าการลดภาษีครั้งนี้ถูกมองว่า “ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้การส่งออกไทย” แต่ความจริงแล้วเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความท้าทายจาก “เศรษฐกิจโลก” กำลังอยู่ใต้เงาสหรัฐฯที่ใช้มาตรการการค้า การลงทุน และภาษี เพื่อมากำหนดทิศทางที่ไม่ได้มีแค่แรงกระแทกเดียวแต่จะตามมาเป็นระลอกเหมือนคลื่นสึนามิถาโถมซ้ำแล้วซ้ำเล่าคำถามคือเราเตรียมรับมือพอหรือยัง? “สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย” จึงได้จัดเสวนา Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร โดย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์ฯ บอกว่าสหรัฐฯตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าเพราะกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจสะสมทั้งขาดดุลการค้าเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์/ปี ขาดดุลการคลัง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์/ปี และมีหนี้ทั้งในและนอกประเทศทะลุ 36 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว เช่นนี้สร้างความกังวลให้สหรัฐฯ หากปล่อยต่อไปในทิศทางเดิมยิ่งทำให้ประเทศเข้าสู่ “ภาวะหนี้หัวโต” ทั้งยังเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งสำคัญอย่าง “จีน” ถ้าดูจากหนังสือเรย์ ดาลิโอ นักลงทุนชื่อดัง จะเห็นว่าสหรัฐฯอยู่ในตำแหน่งมหาอำนาจสูงสุดมาหลายทศวรรษ แต่จีนตีตื้นขึ้นมาเพียง 20 ปี และไม่เกิน 5 ปีก็อาจแซงหน้าขึ้นมาก็ได้ไม่เท่านั้นยังมีรายงานจากออสเตรเลียชี้ว่า “จีนเป็นผู้นำเทคโนโลยีขั้นสูงถึง 37 จาก 44 สาขา” ขณะที่สหรัฐฯ นำอยู่เพียง 7 สาขา และประเมินว่าไม่นานจีนจะตามทันทั้งหมด หากมองย้อนดูตั้งแต่ปี 1987-2013 มาจนปี 2025 การเติบโตของจีนถือว่าพลิกโฉมอย่างสิ้นเชิงอย่างเซี่ยงไฮ้จากเมืองอาคารเตี้ยๆกลายเป็นมหานครระดับโลกซึ่งไม่ใช่แค่เมืองเดียวแต่เมืองใหญ่อย่างฉงชิ่ง เฉิงตูและกว่างโจวก็เร่งพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็วจนเริ่มแซงหน้าสหรัฐฯในหลายด้านกลายเป็นอีกหนึ่งความกังวลสำคัญ “ทรัมป์” จึงเข้ามาจัดระเบียบการนำเข้าตลาดสหรัฐฯใหม่ เริ่มจากกรณีประเทศเคยมีข้อตกลงการค้าเสรี NAFTA เดิมไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าก็ต้องถูกเก็บเช่นกันอย่างเช่นเม็กซิโกถูกเก็บ 25% แคนาดา 35% อังกฤษ 10% และบราซิลโดนเต็มๆ 50% สะท้อนให้เห็นระเบียบใหม่ที่เกิดขึ้นในการนำเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ที่ถูกแบ่งเป็นเทียร์ (Tiers) ตามความสำคัญของแต่ละประเทศ ทว่าหากสังเกตในช่วงระยะเวลา 90 วัน “สหรัฐฯมีการเจรจาเยอะ” แต่ประสบความสำเร็จน้อยมาก แบ่งประเภทดีลออกเป็น 3 แบบ คือ “First deal” อย่างสหราชอาณาจักรดีลได้ 10% “Massive deal” ก็มีเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป 15% ซึ่งมีการทำสัญญาลงทุนในสหรัฐฯ บางกรณีมูลค่าสูงถึง 500,000-1,000,000 ล้านดอลลาร์สุดท้าย “Great deal 19–20%” เดิมมีแค่เวียดนาม เปิดตลาดให้สหรัฐฯอัตราภาษี 0% และอินโดนีเซีย ต้องการได้ดีกว่าเวียดนาม 1% จึงเสนอซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ สั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำเลยได้มา 1% ดีกว่าเวียดนามแต่พอจากนั้นก็มีเพิ่มอีก 4 ประเทศที่ล้วนมีบทบาทในฐานะผู้ช่วยสร้างผลงานให้ทรัมป์ที่มีความปรารถนาจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพคือ “ไทย กัมพูชา มาเลเซีย” ซึ่งเป็นกลุ่มมีภาพถ่ายจับมือร่วมกัน “ปากีสถาน” ซึ่งได้เพราะการเจรจาสงบศึกกับอินเดียจากสหรัฐฯ ในฐานะผู้ส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาคเช่นกันขณะเดียวกันก็ยังมีหลายประเทศที่อยู่ระหว่างเจรจายังไม่ได้ข้อสรุป เช่น อินเดีย 25% เม็กซิโก 25% จีน 30% แคนาดา 35% สวิตเซอร์แลนด์ 40% บราซิลเจรจาเสร็จสิ้นอยู่ที่ 50% เพราะถูกลงโทษเกี่ยวกับทางการเมืองประเด็นคือ ไทยไม่ควรยึดติดกับอัตราภาษีที่ได้มา 19% ด้วยทรัมป์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดหากเขาไม่พอใจ ดังนั้นการอยู่รอดทางเศรษฐกิจต้องมองรอบด้านทั้งระดับมหภาค อุตสาหกรรม ภูมิรัฐศาสตร์ การทูต และการทหาร เพราะสิ่งที่ไทยเผชิญกับการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ที่สหรัฐฯกำหนดทิศทางไว้ไม่ได้จบแค่ในวันนี้ แต่ยังจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาวไกลลักษณะคล้ายกับ “คลื่นสึนามิ” ที่ไม่มาแค่ระลอกเดียวอย่างกรณีรอบนี้เป็นรอบแรก “ตลาดทุนไม่มีปัญหาอะไรมากผ่านพ้นไปด้วยดี” แต่ว่าคลื่นลูกที่สอง... “เป็นเรื่อง Real Sector” ในการปรับตัวภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะเข้ามาส่งผลกระทบแน่ๆตั้งแต่ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย และเกษตรกร รวมถึงเขย่าภาค Real Sector เพิ่มเติมด้วย “รัฐบาล” ต้องเริ่มคิดให้หนักมากขึ้นเกี่ยวกับการเยียวยา และการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้คลื่นต่อมา “ย้ายฐานผลิต” โชคดีที่นักลงทุนยังไม่คิดย้ายฐานไปจากไทย เพราะโควตา 19% ที่ได้ดีกว่าอินเดีย 25% ทั้งไม่ด้อยกว่าเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทำให้อาเซียนจะเป็นเป้าหมายการย้ายฐานผลิตมาที่นี่ด้วยประการถัดมา “ไทยจะอยู่รอดอย่างไร?” ในเรื่องนี้มีข้อแนะนำให้เน้น 3 ข้อ คือ ข้อแรก...“ประคองเศรษฐกิจไทย” ด้วยในอนาคตมีความเสี่ยงที่โลกจะชะลอลงมากกว่านี้ “ทรัมป์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้” เพราะเขาเพิ่งได้ผลประโยชน์จากข้อตกลงย่อมมีความฮึกเหิมมีเป้าหมายไปสู่เวที Nobel Peace Prize ทำให้เดินหน้าดีลต่อเรื่อยๆยิ่งมั่นใจเลยผลกระทบที่จะตามมาคือ “กระทบต่อเศรษฐกิจโลก และการค้าโลก” เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่เห็นชัดเจน ดังนั้นไทยต้องรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจไว้ “ทำอะไรได้ก็ทำไปก่อน” ไม่ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เช่น การลดดอกเบี้ยบางส่วนควรทำแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่รอให้วิกฤติเกิดก่อน ข้อสอง...“การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ” ยอมรับกังวลกับภาคเกษตรโดยเฉพาะสินค้าส่งออก แต่พอได้ฟังบางมุมสถานการณ์ไม่ได้แย่ไปหมด “บางกลุ่มมีโอกาส” ทำให้ต้องจัดลำดับความสำคัญการเยียวยาอีกกลุ่มอยากให้ดูแลคือ “SMEs” กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบแน่ เพราะจีนเดือนล่าสุดส่งออกโดยรวมโตแค่ 4% “ตัวเลขส่งออกไปสหรัฐฯ ติดลบถึง 34%” แต่จีนส่งออกมาอาเซียนโต 15% และส่งมาไทยโตถึง 28% ทำให้สินค้ากำลังย้ายมาที่ไทยเป็นตลาดใหม่ส่งผลให้ SMEs ไทยเกิดปัญหาแน่จึงอยากเสนอให้รัฐบาลทำโครงการ SME GPเช่นกำหนดสัดส่วนจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ SME 50% เพราะที่ผ่านมาเราเคยทำได้ 30% ภายใต้ made in Thailand by Thai SME ต้องเป็น SME ไทยเท่านั้นส่วนสินค้าจีนมาก็ไม่สามารถสวมสิทธิ์ได้ เช่นนี้ SME ไทยก็จะอยู่ได้ข้อสุดท้ายเร่งแก้อุปสรรคในประเทศให้เป็นโอกาสที่ผ่านมาหลายกฎเกณฑ์เป็นอุปสรรคจึงใช้จังหวะโอกาสนี้ผลักดันการแก้กฎระเบียบที่ควรแก้มานาน โดยให้ทุกกระทรวงมาร่วมมือกันแก้อุปสรรคฉุดรั้งประเทศไว้นี่คือสถานการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อ “เศรษฐกิจ” ที่ยักษ์ใหญ่ อย่างสหรัฐฯกำลังมาทับเราทางเดียวคือ “ต้องเตรียมตัวให้ทัน” โดยใช้โอกาสที่มีอยู่ในวันนี้ไม่ใช่รอให้วิกฤติเกิดแล้วค่อยวิ่งตามแก้.