ย้อนรอยมนต์เสน่ห์สีกากอล์ฟเขย่าวงการสงฆ์ “พระหลายรูปเข้ามาพัวพัน” ไม่ว่าจะเส้นทางการเงิน ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว “ขัดพระธรรมวินัยร้ายแรง” กลายเป็นประเด็นสะเทือนผ้าเหลืองเป็นระลอกๆเบื้องต้นปรากฏชื่อพระเกี่ยวข้อง “13 รูปต้องลาสิกขา” ที่ล้วนเป็นพระระดับสูง หรือเคยเป็นเสาหลักด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้วมีบทบาทสำคัญ “ในวงการศึกษาของคณะสงฆ์” ซึ่งก็ยังอยู่ในระหว่างการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงกับพระมีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าพัวพันกับสีกาในลักษณะสัมพันธ์ฉาวอีกหลายรูปสิ่งนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นองค์กรสงฆ์และการจัดการภายในวัดอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน รศ.พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี ประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต บอกว่า หากดูพฤติกรรมความสัมพันธ์สีกากอล์ฟกับพระในเชิงอาชญาวิทยาในประเด็นแรงจูงใจอธิบายได้ คือ เรื่องแรก...“สถานะทางสังคมของพระ” ในสังคมไทยพระเป็นที่เคารพนับหน้าถือตาเป็นที่สักการะของผู้คน ส่งผลให้มีความเกี่ยวข้องกับเงินทำบุญ โดยเฉพาะพระระดับเจ้าอาวาสมีอำนาจเบิกจ่ายเงินวัดได้เอง ซึ่งอาจเป็นจุดนำไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์จาก “ผู้ไม่หวังดี” หากบุคคลนั้นแทรกซึมเข้าไปในความไว้วางใจของพระได้เรื่องที่สอง...“คอนเนกชัน” ส่วนมากแล้วพระผู้ใหญ่มักจะมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ในหลายวงการทั้งภาครัฐ เอกชน และการเมือง “การเชื่อมโยงสัมพันธ์กับพระผู้ใหญ่อาจเป็นช่องทางเข้าถึงคอนเนกชัน” ในบางกรณีอาจนำไปสู่การใช้เป็นเครือข่ายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หรือเอื้อต่อการกระทำบางอย่างที่ผิดกฎหมายก็ได้กรณีนี้จึงมองว่า “พฤติกรรมของผู้กระทำ” ใช้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งในเชิงอำนาจกับพระเพื่อแสวงหาประโยชน์จากโอกาสที่เข้าถึง “สร้างความใกล้ชิด” แล้วหนึ่งในเทคนิคที่พบคือการบันทึกภาพคลิปวิดีโอในระหว่างปฏิสัมพันธ์นำมาใช้เป็นเครื่องมือแบล็กเมล์ หรือใช้ต่อรองในอนาคต หากความสัมพันธ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการประเด็นสำคัญ “ผู้กระทำเรียนรู้พัฒนาวิธีจากพระรูปแรก” แล้วนำแนวทางเดิมไปใช้กับพระอื่นๆ มีปัจจัยเอื้อการทำซ้ำคือ“รู้ว่าพระไม่เปิดเผยข้อมูล” เพราะเสี่ยงถูกจับสึก เสียภาพลักษณ์ หรือสูญเสียสิทธิสถานะได้ผลตามมา “ผู้กระทำรู้สึกย่ามใจก็จะใช้พฤติกรรมเดิมซ้ำกรณีอื่น” แต่ตามการวิเคราะห์ยังไม่พบหลักฐานชัดว่า “ทำกันเป็นขบวนการ” มีเพียงแค่บุคคลบางคนอาจจะประสานงาน หรือสนับสนุนในบางส่วนเท่านั้นเพราะช่องทางการเข้าถึงตัวพระผู้ใหญ่ “คนปกติเข้ายาก” แต่สีกากอล์ฟกลับสามารถเข้าถึงได้ง่าย ด้วยการใช้เทคนิคเฉพาะตัวในการสร้างภาพลักษณ์ตัวตนให้ดูน่าเชื่อถือ “แสดงออกว่าตัวเองมีฐานานุรูปที่ดี” แล้วสิ่งที่น่าสนใจพระบางรูปยอมรับว่า “รู้จักกับสีกากอล์ฟผ่าน Facebook” ซึ่งเป็นช่องทางใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน เช่นนี้สะท้อนว่า “ผู้หญิงมีวิธีคิด” ใช้ช่องว่างของเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือการเข้าถึงพระผู้ใหญ่ที่ไม่ทันระวัง จึงแสดงให้เห็นว่า “สีกากอล์ฟไม่ได้เข้าถึงด้วยความบังเอิญ” แต่ใช้หลายวิธีทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือ การใช้สื่อออนไลน์ และอาจวิเคราะห์พฤติกรรมของพระแต่ละรูป เพื่อเลือกเทคนิคที่เหมาะสมในการเข้าถึงด้วยซ้ำหากถามว่า “พฤติกรรมเข้าข่ายทางจิตผิดปกติหรือไม่” ในเชิงอาชญาวิทยาถือเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบน เพราะผู้ก่อเหตุมีความตั้งใจ วางแผน และเลือกเป้าหมายพระที่มีภาพลักษณ์บริสุทธิ์ใจทำให้แฝงตัวเข้าหาได้ง่าย โดยไม่ถูกจับตา หรือระแวง และยิ่งพระบวชมาหลายพรรษาอยู่แต่ในวัดมักจะไม่มีประสบการณ์ของโลกภายนอกทำให้ยิ่งไม่คุ้นเคยกับ “พฤติกรรมการหลอกลวง หรือเล่ห์เหลี่ยมของคนภายนอก” เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่เหมาะสม และพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียวก็ถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองตลอดไปแล้วก็ต้องยอมรับว่า “พระก็คือมนุษย์เหมือนกัน” ตราบใดที่จิตใจยังไม่ถึงธรรมก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนกับเราดังนั้นการบวชมาตั้งแต่วัยเด็ก “ไม่ใช่ทุกคนจะละจากโลกเข้าถึงธรรมะได้แท้จริงเสมอไป” เพราะการบวชไม่ได้หมายถึงแค่การโกนหัว นุ่งผ้าเหลืองห่มจีวรเท่านั้นใจ ก็ต้องบวชไปด้วย แต่อย่างไรก็ดียังคงมีพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และเข้าถึงแก่นธรรมเป็นที่น่ายกย่องน่าเคารพนับถือในฐานะสมณะผู้สละโลกอยู่อีกมากมาย“พระผู้ใหญ่หลายท่านเคยพูดไว้ว่าการบวชตั้งแต่เด็ก และศึกษาในสายเปรียญธรรม เช่น เปรียญธรรม 9 ประโยคนั้นเป็นเพียงการศึกษาทางอักษร หรือการเรียนรู้ภาษาบาลี และคัมภีร์เท่านั้นไม่ได้ศึกษาถึงหลักการปฏิบัติธรรมอย่างลึกซึ้งทางจิตใจก็อาจทำให้เข้าไม่ถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา” รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ “การบวชตั้งแต่เด็ก” ไม่ได้การันตีว่าผู้บวชจะศึกษาเข้าถึงหลักธรรมเสมอไป และหากไร้การฝึกฝนกิเลสก็ยังครอบงำได้ไม่ต่างจากฆราวาส ทำให้เกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสมจนเกิดคำถามของชาวพุทธเช่นกันว่าตกลงเหตุแบบนี้ยังมีอยู่หรือไม่ จึงควรเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ และ สนง.พระพุทธศาสนาร่วมกันกำกับดูแลส่วนการปรับแก้ พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 “ในมุมมองของฝ่ายฆราวาส” อาจเป็นแนวทางช่วยตรวจสอบ และป้องกันการทุจริต เพราะพระบางรูปมีบทบาทบริหารการเงินวัดจึงควรมีความโปร่งใสตรวจสอบได้แต่ในมุม “พระผู้ปฏิบัติธรรม” อาจรู้สึกไม่ควรนำกฎหมายทางโลกมาจำกัดการดำเนินชีวิตทางธรรม เพราะท่านถือศีลปฏิบัติตามพระธรรมวินัยมีจริยธรรมสูงกว่า ดังนั้นการตีความก็ขึ้นอยู่กับมุมมองแต่ละฝ่าย อย่างไรก็ดีตราบใดที่ยังมีผู้หวังแสวงหาประโยชน์ย่อมหาช่องทางได้อยู่ดี จึงควรมีหลักเกณฑ์ที่ไม่เคร่งครัดจนพระปฏิบัติไม่ได้ด้วยปัญหานี้มักเปลี่ยนตามยุค “โดยเฉพาะยุคโซเชียลฯ” ที่พระใช้สื่อออนไลน์ติดต่อญาติโยมรับการสนับสนุนวัด “เปิดช่องให้สีกามาหลอกลวงได้ง่าย” แถมโซเชียลฯยังมีข้อมูล ข่าวสาร ภาพ คลิปวิดีโอ ถูกเผยแพร่ผ่านโทรศัพท์เยอะมาก “พระสงฆ์” เข้าไปใช้มักมีโอกาสเห็นภาพกระทบจิตใจที่ยังมีกิเลสหลงเหลือเติบโตขึ้นก็ได้ในแง่ของศีล “การใช้โทรศัพท์ หรืออินเตอร์เน็ตอาจไม่ผิดศีล” เว้นแต่นำไปสู่พฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัย เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญต่อพระสงฆ์และสังคมไทยควรมีสติ รู้เท่าทัน และไม่ตกเป็นทาสกิเลสในรูปแบบใหม่ และสะท้อนให้เห็นถึงพระปฏิบัติดีก็ยังคงเป็นแบบอย่างในการเผยแผ่พระธรรมวินัยอย่างมั่นคงแล้วในด้านหนึ่งสำหรับ “พุทธศาสนิกชน” ก็ไม่ควรทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง และต้องมีเส้นแบ่งระหว่างพระกับฆราวาส ไม่ว่าจะเป็นในวัด กิจกรรมทางศาสนา หรือแม้กระทั่งในโลกออนไลน์ก็ตามฉะนั้นวิกฤตินี้ไม่ใช่แค่เรื่องบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นวิกฤติศรัทธาพระพุทธศาสนาไทย หากไม่ปฏิรูปโครงสร้างฟื้นฟูวินัยจริงจัง ย่อมส่งผลให้ศาสนาถูกมองเป็นเพียงเปลือกนอกที่ไม่มีแก่นภายใน.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม