เหตุความสัมพันธ์ระหว่าง “สีกากับพระบางรูป” ไม่ใช่เรื่องฉาวเชิงศีลธรรมจบแค่ความเสื่อมเสียพระรูปใดรูปหนึ่งเท่านั้น แต่สะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่การบริหารทรัพย์สินของวัดมหาศาลที่ญาติโยมถวายด้วยศรัทธาให้นำไปใช้ทำนุบำรุงศาสนากลับถูกแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างไม่เหมาะสมแล้วปรากฏข่าวเป็นระยะล่าสุด “ตำรวจ บก.ปปป.” ก็ตรวจสอบอดีตพระราชาคณะระดับชั้นธรรม เจ้าคณะจังหวัดในภาคเหนือ “มีพฤติกรรมสงสัยพัวพันสีกา” ถึงขั้นใช้ชีวิตอยู่กินด้วยกันคอยส่งเสียเลี้ยงดูให้เงินซื้อรถ ซื้อบ้านหรู ซื้อที่ดิน มีหน้ามีตาทางสังคม ในเรื่องนี้ ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน บอกว่าประเทศไทยดูจะเข้าใกล้คำว่า “สังคมคนโกงมากขึ้นเรื่อยๆ” เพราะการทุจริตเกิดขึ้นในทุกวงการไม่เว้นแม้แต่วงการครู แพทย์ ดารา นักการเมือง หรือแม้แต่วงการสงฆ์ที่เริ่มมีข่าวโกงรุนแรงถี่ขึ้น ทำให้ประชาชนรู้สึกผิดหวัง สูญเสียความเชื่อมั่น ดังนั้นเมื่อถึงจุดนี้แล้วทุกคนคงต้องร่วมมือกันหยุดพฤติกรรมโกงให้ได้ในทุกระดับไม่ใช่พุ่งเป้าแค่การโกงในวงการสงฆ์ “ควรมองภาพทั้งประเทศ” เพื่อรณรงค์ให้คนเห็นการโกงเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ทุกวันในมหาวิทยาลัย และโรงเรียน “เด็กลอกข้อสอบลอกการบ้านทำโดยไม่รู้สึกผิด” สิ่งนี้เป็นรากปัญหาถ้าไม่เริ่มแก้ไขจริงจังในตอนนี้ก็จะกลายเป็นสังคมล้มเหลวคงถึงเวลาที่คนไทยต้องตื่นร่วมกันหยุดวัฒนธรรมการโกง ถ้าหากมาดู “การทุจริตในวงการสงฆ์ส่วนหนึ่งมาจากปล่อยปละ ละเลยมานาน” แม้ศาสนาจะเป็นเรื่องของศรัทธาความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อผู้ครองจีวรก็ตาม แต่สิ่งที่เห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระกลับหละหลวมจนระเบียบและวิธีบริหารดูแลในวงการสงฆ์ กลายเป็นแรงจูงใจให้พระบางรูปแสวงหาผลประโยชน์ได้อย่างเช่นการแต่งตั้งเลื่อนพระครูก็พิจารณาผลงานในการสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร หอระฆัง หรือการพัฒนาวัดด้วยถาวรวัตถุ สิ่งนี้ไม่ถูกต้องมักนำไปสู่การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งพระปกครองระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคณะตำบล อำเภอ และพระอุปัชฌาย์ ก็มีข่าวการทุจริตเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่สถาบันเหล่านี้ควรต้องมีระบบที่โปร่งใส เช่นนี้หากต้องการให้วัดกลับมาเป็น “แบบอย่างทางศีลธรรม และลดปัญหาคอร์รัปชัน” แนวทางสำคัญถูกพูดถึงมากที่สุดคือ “การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาชน” ด้วยการเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการวัดแทนที่จะปิดกั้นจนประชาชนรู้สึกถอยห่างออกไปด้วยซ้ำ แล้วสิ่งที่จะทำให้ “พระภิกษุมีวินัยและมีความรับผิดชอบ” ก็ต้องกระทำโดยเปิดเผยนำการจัดการทางโลกเข้าไปสร้างหลักธรรมาภิบาล เช่น การแต่งตั้งไวยาวัจกร หรือคณะกรรมการวัด ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ปัญหามีอยู่ว่า “การบริหารจัดการภายในวัดหลายแห่งนำเอาญาติ พรรคพวก หรือกลุ่มผลประโยชน์เดียวกัน” เข้ามาทำหน้าที่สำคัญในกรรมการวัด หรือไวยาวัจกร และแน่นอนเมื่อคนเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้งที่ไม่เหมาะสม “ระบบก็เสีย ความโปร่งใสก็หาย” ส่งผลให้ประชาชนเริ่มหมดศรัทธาไปเรื่อยๆ ดังนั้นต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยการแต่งตั้งคนมีคุณสมบัติ มีความรู้ จิตสาธารณะ และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เข้ามาดูแลบริหารจัดการวัด เมื่อระบบภายในโปร่งใสแล้วความศรัทธาเลื่อมใสของประชาชนก็จะกลับคืนมาแต่สิ่งที่น่าห่วงในปัจจุบันคือ “วิถีชีวิตคนยุคใหม่เปลี่ยนไป” ผู้คนต่างมีความว้าวุ่นในจิตใจมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว ความเครียดทำมาหาเลี้ยงชีพ และต่างพากันเข้าวัดเพื่อบนบานศาลกล่าว หรือขอพร ทั้งมีการทำบุญด้วยทรัพย์สิน เงินทองมากกว่าการเข้าไปฟังเทศน์ ฟังธรรม หรือปฏิบัติธรรม เพื่อให้จิตใจสงบอันเป็นวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่มองทุกอย่างง่ายเกินไป “นำไปสู่เม็ดเงินบริจาควัดในไทยรวมกันสูงถึงปีละ 150,000 ล้านบาท” แต่ความจริงตัวเลขมากกว่านี้เพียงแต่บางส่วนเข้าพระสงฆ์โดยตรง อย่างไรก็ดีการทำบุญให้มีความสุขไม่จำกัดแค่บริจาคให้วัดสามารถแบ่งปันให้โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย มูลนิธิ องค์กรการกุศลได้เพราะการทำบุญที่หลากหลายมักจะช่วยทำให้เกิดแรงจูงใจ “คนบริจาคเงินมีความสุขใจและความสบายใจมากขึ้น” แถมยังให้แต่ละคนมีทางเลือกในการทำบุญ โดยไม่จำกัดแค่เฉพาะวัดหรือศาสนสถานเท่านั้นประเด็นคือ “สะพานบุญที่ประชาชนบริจาคเงินเพื่อศาสนานี้” กำลังกลายเป็นช่องโหว่สำคัญที่เปิดโอกาสเสี่ยงให้พระภิกษุบางรูปอาจยับยั้งชั่งใจไม่ได้ เพราะเงินทำบุญบริจาคให้กับวัดแต่ละปีมหาศาลมากนำมาซึ่งวันนี้ที่เราเริ่มเห็นข่าวการยักยอกเงินของวัดที่เกิดขึ้น และมีการคอร์รัปชันเงินอีกมากมายในอดีตที่ยังไม่ถูกเปิดเผยเรื่องนี้ถือว่า “เป็นระเบิดลูกใหญ่ในวงการสงฆ์” อย่างกรณีที่เจ้าอาวาสบางรูปเมื่อผู้มีจิตศรัทธานำที่ดินมาถวายวัด หรือนำเงินจากการบริจาคไปซื้อที่ดินแทนที่จะจัดการในนามของวัดกลับนำไปจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในชื่อของเจ้าอาวาสเอง “พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นจำนวนมาก” โดยเฉพาะในวัดขนาดใหญ่ หรือวัดที่ตั้งในจังหวัดสำคัญ“นี่เป็นช่องโหว่ที่อันตรายอย่างยิ่ง หากไม่มีการควบคุม หรือไม่จัดการให้ชัดเจน เพราะทรัพย์สินจากประชาชนบริจาคควรเป็นของวัดและเป็นสาธารณประโยชน์ แต่กลับกลายเป็นของส่วนบุคคลโดยผิดหลักธรรม ถ้าเราไม่หยุดไม่แก้ไขเรื่องนี้ปัญหาจะปะทุขึ้นมาทำลายศรัทธาของผู้คนลงอย่างไม่มีวันฟื้นกลับได้ง่าย” ดร.มานะว่า ตอกย้ำว่า “ถึงเวลาแล้วที่ต้องรื้อโครงสร้างใหม่” คำว่าปฏิรูปอาจไม่เพียงพอด้วยเพราะพระและฆราวาสต่างเคยชินกับช่องทางหาผลประโยชน์จากวัด ทั้งการนำพื้นที่วัด ชื่อเสียงของวัด เพื่อหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ตัวอย่างง่ายๆ เวลาคนถวายปัจจัย หรือเครื่องสังฆภัณฑ์ก็ยังมีบางคนนำไปขาย และเงินก็ไม่เข้าวัดอีกเช่นเดิมสิ่งล่อแหลมทำให้พระยับยั้งชั่งใจไม่ได้คือ “เงินมหาศาลที่ไหลเข้าสู่วัด” ปัญหายักยอกเงินวัด และพฤติกรรมไม่เหมาะสมจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่เพียงแค่กรณีกับสีกา” แต่ยังรวมถึงการนำเงินวัดไปซื้อที่ดินแล้วจดทะเบียนในนามส่วนตัวพบได้มากในวัดใหญ่ๆ หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไขปัญหานี้ก็จะปะทุขึ้นอีกในอนาคตพฤติกรรมแบบนี้ล้วนบ่อนทำลายชื่อเสียงของวัด ถ้ายังปล่อยไว้วัดจะไม่ใช่สถานที่ที่ประชาชนพึ่งพิงได้อาจจะกลายเป็นพื้นที่ที่ใครก็ใช้หากินได้โดยไม่รู้สึกผิด “เหตุนี้เราต้องรื้อจริงๆ” เพราะกฎหมายบางอย่างอาจยังไม่พอต้องให้ชุมชนอยู่รอบวัดลุกขึ้นมามีส่วนร่วม ตรวจสอบ ร่วมกันสร้างความโปร่งใส และศรัทธาก็จะฟื้นคืนมาได้เอง ย้ำว่าข่าวทุจริตในวงการสงฆ์ยังมีอีกมาก “ทั้งที่เกิดขึ้นในอดีตและที่ยังไม่ถูกเปิดเผย” เช่นนี้เราจึงควรต้องออกมาพูด ออกมาตรวจสอบ และวางระบบใหม่ให้รัดกุม ก่อนที่ศาสนาจะกลายเป็นเพียงองค์กรที่ใครก็มาแสวงหาผลประโยชน์แทนที่จะเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนอย่างที่ควรจะเป็น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม