หลังจากประเทศไทย-กัมพูชา บรรลุข้อตกลง “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา จากการเจรจาของรักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยและผู้นำประเทศกัมพูชาที่มาเลเซีย โดยมีนายกฯมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นตัวกลางจัดเวทีคลี่คลายข้อพิพาท แก้ปัญหาการปะทะสู้รบไทย-กัมพูชาแต่นั่นก็ยังเป็นแค่การเจรจารอบแรกเท่านั้น จากนี้ยังมีอีกหลายเวทีต้องตกลงกันกับอีกหลายประเด็นต้องพูดคุย ต่อเนื่องทั้งระดับกองทัพ ระดับพื้นที่ ระดับรัฐมนตรี ไปจนถึงระดับรัฐบาล ตั้งแต่เรื่องเฉพาะหน้า การหยุดยิงถาวร มาตรการ ป้องกันการรุกล้ำพื้นที่ การสร้างสันติภาพ ไปจนถึงเรื่องการปักปันเขตแดนถาวรที่ยังไม่ค่อยได้รับการพูดถึง คือ ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ที่มีฐานที่ตั้งในกาสิโนบริเวณชายแดนกัมพูชาที่ผ่านมาถูกหยิบยกว่าเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง เพราะมาตรการกดดันจากไทย ทั้งการควบคุมเปิด—ปิดด่าน การตัดไฟฟ้า สัญญาณอินเตอร์เน็ต ทำให้ผู้มีอำนาจของกัมพูชาไม่พอใจนอกจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ที่ยกเรื่องนี้มาพูดถึงแล้ว ล่าสุดนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน รองประธานคณะกรรมาธิการ ความมั่นคงฯ สภาฯ เสนอแนะว่าหลังจากการเจรจา สิ่งที่รัฐบาลต้องทำต่อเนื่อง คือการเดินหน้ากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อไป ปิดช่องที่จะมาหลอกลวงคนไทยโดยเห็นว่าประเทศไทยยังมีเครื่องมือที่มีศักยภาพในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะการตรวจสอบเส้นทางการเงิน การฟอกเงินของเครือข่ายขบวนการมิจฉาชีพ ไซเบอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นปัญหา ที่ทั่วโลก องค์กรนานาชาติให้ความสนใจ อีกทั้งมีความเชื่อมโยงไปถึงนักธุรกิจ นักการเมือง ใกล้ชิดผู้มีอำนาจกัมพูชาฉะนั้นเรื่องนี้จึงยังเป็นอีกโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล ที่จะหยุดมาตรการปราบ ปรามกวาดล้างตามการเจรจาหยุดยิงไม่ได้ เพราะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติถือเป็นมหันตภัย ไม่เฉพาะกับประเทศไทย แต่สร้างผลกระทบ สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนไปทั่วโลก และทุกฝ่ายก็จับตาโดยเฉพาะ ประเทศมหาอำนาจ ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาที่สำคัญสำหรับรัฐบาล หากปล่อยผ่านปัญหานี้ ก็จะโดนย้อนเกล็ด ถูกตั้งคำถามว่าจริงใจกับมาตรการแก้ปัญหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมข้ามชาติมากน้อยแค่ไหน และที่นายกฯหยิบยกว่า เพราะความจริงจังปราบปรามทำให้ประเทศ เพื่อนบ้านไม่พอใจ ก็จะเป็นแค่อ้างลอยๆ เท่านั้น สุดท้ายก็กวาดขยะซุกใต้พรมเช่นเดิม.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม